ในวัยเยาว์ ข้าพเจ้าช่วงเดือน พ.ย-ธ.ค ปี 2513 ผู้เขียนและคุณพ่อ จะต้องมีหน้าที่ไปเฝ้าสวนทุเรียนป่าซึ่งเป็นของคุณตา ในป่าซึ่งอยู่ในหุบเขาต้องเดินทางด้วยจักรยานเข้าไปจากถนน ประมาณ 10กิโลเมตร ป่าทุเรียน มีทั้ง มังคุดป่า และเงาะป่า ร่วมกับพันธ์ไม้อื่น ๆ เช่น สะตอ คะเคียน หลุมพอ ดูเป็นป่าที่ทะมึน ๆ น่ากลัวสำหรับเด็กวัยห้าขวบที่ต้องเฝ้าสวนในขนำกลางป่ากับพ่อเพียงสองคน แต่จำเป็นต้องมาเพราะคนมักแอบมาขโมย หรือมีหมีลูกไห หรือหมีขอ มาขโมยกินเสมอ ในตอนเช้า ก็จะเก็บลูกทุเรียนที่หล่นกลับบ้านไปขาย
ข้าพเจ้ารู้สึกอุ่นใจ ที่มีพ่ออยู่ใกล้ กลิ่นตัว และกลิ่นเหงื่อของพ่อสร้างความมั่นใจ ให้กับข้าพเจ้าเสมอเมื่อยามที่อยู่ใกล้ แสงตะวันเริ่มหายไปคุณพ่อก็จะก่อไฟหุงข้าวด้วยหม้อเก่า ๆ เมื่อข้าวสุก ก็เอากับข้าวที่นำมาจากบ้านกินกันสองคนอย่างเงียบ ๆ ภาชนะที่ใช้คือกะลา ที่ตกแต่งจนดูดีเกลี้ยงเกลา เก็บไว้ที่ขนำไม่มีคนขโมย รับประทานอาหารเสร็จแล้ว พ่อก็นำใบจากมามวนบุหรี่สูบจนควันโขมง ใช้ผ้าขาวม้าปัดยุง จากนั้นสุมไฟให้สว่าง เพื่อไล่ยุงและสัตว์ร้าย เช่น งูจงอาง หรือสัตว์อื่น
กลางคืนป่าเริ่มมีเสียงจักจั่นร้องและเสียงลมพัดเบา ๆ มองไม่เห็นดาวเพราะป่าปกคลุมหมด พ่อเริ่มเล่าเรื่องอดีตให้ฟังสมัยวัยหนุ่มว่า พ่อเคยถูกวางยาพิษ เพราะไปเที่ยวต่างถิ่น ต่างหมู่บ้าน คนวางยาเป็นญาติกันแต่ไม่รู้จัก เมื่อวางยาพิษแล้ว พ่อล้มลง คนรู้จักบังเอิญมาเจอเข้า จึงบอกเขาว่าเป็นญาติกัน คนวางยาพิษจึงรีบเอายาแก้พิษมาให้ พ่อเลยรอดพ้นจากความตาย คนสมัยก่อน มักซ่อน ยาพิษไว้ที่เล็บแล้วดีดใส่อาหาร ทำให้คนถูกวางยาตายภายใน 30 นาที ถ้าหายาแก้ทันก้จะพ้นจากการถูกพิษ ดังนั้นคนภาคใต้ เวลากินเหล้า จึงใช้แก้วเดียวเวียนกินกันทุกคน เพราะถ้าใครวางยาเพื่อน ก็จะตายด้วย เรื่องนี้พ่อเล่าให้ฟังหลายครั้ง
พ่อได้เล่าความหลังตอนหนุ่มให้ฟังหลายเรื่องจนข้าพเจ้าเริ่มหนังตาหย่อนลง ๆ ตามประสาเด็กและหลับไป สะดุ้งตื่น ขึ้น เพราะได้ยินเสียงประหลาด คล้ายผู้หญิงคราง อยู่ในป่าใกล้ ๆพยายามหลับตาว่าคงเป็นเสียงสัตว์หรือ หนู สักพักก็ได้ยินอีก หันไปมองพ่อที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินเสียงกรนเบา ๆ พ่อหลับสนิทแล้ว กองไฟที่มอดเหลือแต่ก้อนถ่านแดง ๆ กับบรรยากาศเงียบตอนกลางดึก เสียงคราง เบานั้นดังเป็นระยะ ข้าพเจ้าดึงผ้าห่มมากระชับแน่นขยับไปชิดพ่อจนท่านรู้สึกตัว ถามว่า "เป็นอะไร ไอ้บ่าว" เลยบอกว่า มีเสียงอะไรไม่รู้ น่ากลัว พ่อเลยบอกว่า ไม่มีอะไรหรอก เป็นเสียงนกกลางคืนมันร้อง หลับซะพรุ่งนี้จะได้ไปหาทุเรียนกลับบ้าน"แล้วหันกลับไปนอน
ข้าพเจ้าพยายามนอน เสียงนั้นก็ดังมาอีก คราวนี้ยิ่งขยับมาใกล้ขนำที่พัก ข้าพเจ้าเลยเรียกพ่อ ท่านตื่นขึ้น "อุวะ กลัวอะไรกับนก มา มาดูจะได้หายกลัว ว่าแล้วท่านลุกขึ้นหยิบไฟฉาย จูงมือข้าพเจ้าลงจากขนำ แล้วส่องไฟไปที่เสียง ข้าพเจ้ามองเห็นนกตัวเล็ก ขนาดหัวแม่เท้า ร้องส่งเสียงอยู่ พอโดนแสงไฟก็หยุดนิ่ง พ่อเลยพูดสำทับว่า "นั้นแหละเสียงที่มึงกลัว มันเป็นแค่นกตัวเท่าหีด ( ตัวเล็ก ) ทีหลังไม่ต้องกลัวนก ให้มึงกลัวงูกะปะ ทีอยูบนต้นไม้ เพราะมันฉกสูงถึงคอ กับงูจงอางหวงไข่ดีกว่า"
ข้าพเจ้าจึงกลับมานอนแต่ยังไม่วายกลัวเสียงนกนั้นทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ ผี คำว่าผี ยังอยู่ในใจและกลัวเสมอสำหรับเด็กอย่างข้าพเจ้า ถ้าผู้ใหญ่มาหลอกคงยิ่งกลัวมากกว่าเดิม
สันติสุข
๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๒
ไม่มีความเห็น