ตังแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในปี ๒๔๗๕ เป็นต้นมา ประเทศไทยได้มีการพัฒนาการทางการเมืองอย่างล่าช้า เนื่องจากต้องเผชิญกับการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจ และต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองในรูปแบบเผด็จการอำนาจนิยมเป็นระยะเวลานาน ตลอดระยะเวลาเหล่านั้น ประชาชนไทยไม่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทำให้ไม่รู้ถึงสิทธิและหน้าที่ของตนตามร ะบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้การที่ประชาชนไทยอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นเวลานาน ทำให้ประชาชนไทยมีวัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ฟ้า ถึงแม้หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว จะเริ่มมีการจัดตั้งสถาบันทางการเมืองและเพิ่มเติมสิทธิเสรีภาพทางการเมืองให้กับประชาชนแล้วก็ตาม แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังมีวัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ฟ้า หรืออย่างดีก็ยกระดับเป็นวัฒนธรรมการเมืองแบบคับแคบ กล่าวคือ มีความเข้าใจที่ผิดและทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเมือง โดยมองว่าการเมืองเป็นเรื่องของการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ ไม่ใช่เรื่องของคนดีที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว มีประชาชนจำนวนน้อยที่ได้รับการศึกษาจนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองเป็นจำนวนน้อยเท่านั้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง
ในปัจจุบัน ด้วยการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ รวมถึงการพยายามให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมือง จากองค์การต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ทำให้ประชาชนเริ่มหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการเมืองมากขึ้น เนื่องจากตระหนักว่าการเมืองย่อมส่งผลต่อวิถีชีวิตของตน แต่ด้วยการศึกษาที่จำกัด ประกอบกับฐานะที่ยากจน จึงยังเป็นช่องว่างที่จะทำให้ผู้มีอำนาจทางการเมืองบางส่วนยังสามารถเข้ามามีอิทธิพลครอบงำความคิดของกลุ่มคนระดับรากหญ้าของประเทศ โดยการใช้ผลประโยชน์ทั้งเชิงนโยบายและผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินตอบแทน จนบิดเบือนความรู้และความสามารถในการคิดวิเคราะห์แยกแยะเหตุผลของกลุ่มคนในระดับรากหญ้าจำนวนหนึ่งได้ จนเกิดเป็นความวุ่นวายเนื่องจากการพยายามเรียกร้องสิทธิที่ตนคิดว่าพึงมีพึงได้รับ ในขณะที่การเรียกร้องสิทธิของตนนั้นกลับเป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น กระทำการอันอาจเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน และสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมโดยรวม ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่กลุ่ม นปช. (เสื้อแดง) นำเอารถแก๊ซมาไว้ในบริเวณแฟลตดินแดง และใช้ชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นเป็นเสมือนตัวประกันในการเรียกร้องให้รัฐบาลทำตามความต้องการของกลุ่มของตน หรือการบุกเข้าไปที่โรงแรมโรยัลคลิฟ บีช ในการประชุมผู้นำอาเซียน ซึ่งเป็นการทำลายทรัพย์สินของบุคคลอื่น และเป็นการกระทำที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลระดับผู้นำของกลุ่มประเทศอาเซียนจำนวนมาก เป็นต้น
สำหรับผมเองได้มีโอกาสติดตามข่าวสารในช่วงเวลานั้นอยู่บ้างในฐานะบุคคลที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใดทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง แต่ต้องการให้สังคมไทยเกิดความสงบสุขมากกว่า อย่างไรก็ดี ผมมีความคิดเห็นต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ว่า เป็นภาพสะท้อนการพัฒนาการอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย กล่าวคือ เป็นการเริ่มต้นของการที่ประชาชนจำนวนมากเริ่มให้ความสนใจกับการเมืองการปกครอง มีการติดตามข่าวสาร วิพากษ์วิจารณ์ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัดสินใจเลือกที่จะสนับสนุนกลุ่มที่มีแนวคิดทางการเมืองคล้ายกับตน ติดตามตรวจสอบการทำงานของผู้บริหารประเทศ และกล้าแสดงออกทางความคิดเห็นทางการเมืองตลอดจนการรวมกลุ่มเพื่อเรียกร้องการตอบสนองจากภาครัฐในสิ่งที่กลุ่มของตนปรารถนา แม้จะยังมีการแสดงออกด้วยวิถีทางที่ไม่ถูกต้องสอดคล้องกับหลักกฎหมายและหลักการของประชาธิปไตยอยู่บ้าง แต่หากมองในมุมที่ว่า นี่คือจุดเริ่มต้นและสัญญาณอันดีในการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตยแล้ว ผมก็คิดว่า ในความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นก็มีประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ หลังจากนี้จึงเป็นคำถามต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งหมดแล้วว่า จะทำอย่างไรที่จะพัฒนาประชาชนไทย จากจุดที่เริ่มมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการเมืองในวิถีทางที่ขาดความรู้ความเข้าใจ ให้กลายเป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบมีเหตุมีผลมากยิ่งขึ้น ในการนี้ต้องอาศัยพลังผลักดันและการสนับสนุนจากองค์การต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมไปถึงผู้ที่อยู่ในแวดวงการศึกษาและวิชาการ ตลอดจนสื่อสารมวลชนต่างๆ
การที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นระบอบการปกครองที่ดีได้ จะต้องมุ่งเน้นให้ผู้ปกครอง ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเลือกโดยประชาชนให้เข้าไปทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ จะต้องทำหน้าที่โดยมุ่งเน้นผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองหรือพวกพ้อง หรือกลุ่มที่สนับสนุนตนเองแต่เพียงเท่านั้น การที่จะทำให้เป็นเช่นนั้นได้ จะต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยประชาชนต้องตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตน ทั้งในการเลือกผู้ปกครองที่ดี และการตรวจสอบติดตามการทำงานของตัวแทนที่เลือกไปให้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม รวมถึงการถอดถอนตัวแทนหรือผู้ปกครองที่ไม่ดีออกไปด้วย หากภาคประชาชนมีความเข้มแข็ง มีความรู้ความเข้าใจ ก็จะทำให้ตัวแทนที่ถูกเลือกเข้าไปจำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจและความศรัทธาเชื่อมั่นจากประชาชน
สิ่งสำคัญที่จะทำให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองอย่างเข้มแข็งนั้น ได้แก่ การศึกษา ทั้งในระบบและนอกระบบ ที่จะต้องมุ่งให้ความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งปลูกฝังค่านิยม และวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตยให้กับผู้เรียน การรณรงค์ให้ความรู้กับผู้ที่ไม่ได้มีโอกาสได้รับการศึกษาก็จำเป็นมาก เมื่อประชาชนมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น และถูกหล่อหลอมให้มีวัฒธรรมการเมืองแบบมีส่วนร่วมมากขึ้น ก็จะทำให้การเลือกตั้งมีคุณภาพมากขึ้น ได้ตัวแทนที่ดีเข้าไปทำหน้าที่สร้างผลประโยชน์ให้กับสังคม รวมทั้งทำให้ตัวแทนที่ไม่ดีจะถูกกำจัดออกไปจากระบบ โดยกระบวนการถอดถอน หรืออาจโดยการไม่เลือกเข้าไปเป็นตัวแทนอีกในสมัยถัดไป
การจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยสามารถเป็นความหวังและเป็นอนาคตของประเทศไทยได้นั้น ผมมองว่าหัวใจสำคัญ คือ ตัวประชาชนเอง ที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย มีความเชื่อมั่นศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย มีความคิดและการแสดงออกที่สะท้อนถึงการมีวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตย และใช้อำนาจอธิปไตยที่ตนเองมีในการเลือกผู้แทนที่ดีผ่านทางการเลือกตั้ง ตลอดจนติดตามตรวจสอบและถอดถอนผู้แทนที่ไม่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ผมขอเสนอแนะแนวทาง ๔ ประการ ดังนี้
ขอขอบคุณ ศ.ดร.สมบัติ ธำรงค์ธัญวงศ์ สำหรับความรู้และทัศนะอันล้ำค่าที่ช่วยเปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับการเมืองอย่างกว้างขวางมากขึ้นให้กับผม และเป็นผู้ตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยของไทย จนทำให้เกิดบทความนี้ครับ
ไม่มีความเห็น