ทุกครั้งที่เราทราบข่าวคนที่เรารัก และผูกพันเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต พวกเรามักเศร้าโศกเสียใจเสมอ ยิ่งรักมากผูกพันมากยิ่งเจ็บปวดโศกเศร้าอาดูร ว่ากันว่าคนเสียชีวิตหนึ่งคนทำให้คนที่เหลือเจ็บปวดเสียใจอย่างน้อยห้าคนจริงหรือไม่ ?
ในทางตรงกันข้าม หากคนเหล่านั้นเราไม่รู้จัก แม้จะเกิดโศกนาฏกรรมสิ้นชีวิตไปมากมายนับร้อยนับพันคน เราก็เพียงสลดใจเล็กน้อยปนความสงสาร และเห็นใจผู้ใกล้ชิด จากนั้นเราก็ค่อย ๆ ลืมเลือนมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ทันทีที่เราลืมตามองโลก เราต่างยึดมั่นถือมั่นในทุกสิ่ง บุตรภรรยา ทรัพย์สินเงินทอง สมบัติพัสถาน ชื่อเสียง เกียรติยศ ล้วนของเราทั้งสิ้น เมื่อใดก็ตามที่สิ่งเหล่านั้นมีอันต้องจากเราไปก่อนเวลาอันควร หรือแม้ควรแก่เวลาแล้วก็ตามที เรามักโศกเศร้าพิไรรำพัน คร่ำครวญถึงความไม่ยุติธรรม ทำไมเรื่องนี้ต้องมาเกิดกับเราไม่ไปเกิดกับผู้อื่นเล่า ?
สัตว์โลกมักเป็นเช่นนี้...เวลาที่เราสุขเราไม่เคยขอบคุณโลก ครั้นเราผิดหวังเรามักโทษฟ้าดิน "สวรรค์ไม่มีตา ฟ้าไม่ยุติธรรม" ทั้ง ๆ ที่ทุกสิ่งล้วนเกิดจากผลแห่งการกระทำของเราทั้งสิ้น
โลกนี้หามีสิ่งใดอยู่ค้ำฟ้า "ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป" ร่างกายอันยาววา หนาคืบ กว้างศอก ประกอบกันเข้าเป็นรูปนาม ขันธ์ห้า
ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ไม่ต้องศึกษาให้ไกลศึกษากันที่กายกับใจของเราเท่านั้นพอ....
หยุดยึด....จงเรียนรู้การปล่อยวาง เราต่างอาศัยโลกใบนี้ชั่วคราว
ถึงเวลาต่างจากจร มาเงียบ ๆ จากไปเงียบ ๆ ยึดมากทุกข์มาก ยึดน้อยทุกข์น้อย ยิ่งยึดมากสังสารวัฏยิ่งยืดยาว....ทุกครั้งที่ทุกข์จากการยึดให้คิดถึงคำกล่าวที่ว่า "ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง" สมดังคำโคลงที่ว่า
"... ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง
อ้างอิงเนื้อหา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%95%E0%B8%B2
คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่น อยู่นา
ตามแต่บาปบุญแล้ ก่อเกื้อรักษา ..."
ภาพจาก http://forums.212cafe.com/uploads/2009Apr26/kalasin2-1240713104-118-174-3-120.jpg
ภาพด้านบน http://www.dhammadelivery.com/images/story/story-221-big.jpg
สวัสดีค่ะ
แวะมาเรียนรู้การปล่อยวาง
ขอบคุณธรรมะ ข้อคิด ดีๆค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์วราภรณ์
ขอบคุณสาระดีๆ ครับ
เห็นด้วยครับ ว่า
"ยึดมากทุกข์มาก ยึดน้อยทุกข์น้อย"
ผมเองเนี่ยแหละครับ เจอมากับตัวเองเลย
แต่มันเป็นเรื่องที่เราถูกเบียดบังสิทธิ์อันชอบธรรมของเราครับ
เรื่องมีอยู่ว่า
เตี่ยผมต้องอดใช้รถประจำตำแหน่งของหน่วยงานๆ หนึ่ง ที่เตี่ยเป็น ผ.อ. อยู่เพราะมีคนเบียดบังทรัพย์สินโดยเอารถคันนี้ตามตัวไปด้วยตอนย้ายไปรับตำแหน่งใหม่
เพราะเขาถือว่าเขาไปใหญ่ขึ้น เนื่องจากเขาย้ายจาก ผ.อ.หน่วยงานนั้น ไปเป็นผู้บังคับัญชาของหน่วยงานนั้นอีกทีหนึ่ง และเตี่ยผมก็ได้ไปเป็น ผ.อ.หน่วยงานนั้นแทนเขาพอดี
เลยอดได้รถ ทั้งๆ ที่มีสิทธิ์ได้โดยชอบธรรม
ผมโกรธและแค้นเขามาก ถามว่าแค้นเพราะไม่ได้ใช้รถเหรอ
คำตอบคือ เปล่าครับ
มันเป็นรถราชการ ไม่ใช่รถของเรา ถึงได้ใช้ก็ใช้ได้อยู่ไม่นาน พอย้ายก็ต้องคืนหน่วยไป เรื่องนี้ผมไม่ซีเรียส
แต่ที่ผมแค้น เพราะเตี่ยผมได้ถูกริดรอนสิทธิ์อันชอบธรรม อันควรมีควรได้ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ผ.อ.หน่วยงานนั้นอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือการได้มีรถประจำตำแหน่งตามระเบียบ
แต่ท่านหาได้สิทธิ์ในข้อนี้ไม่ เพราะคนเห็นแก่ตัวคนนั้น
บอกแล้วว่าไม่ได้แค้นเพราะไม่ได้ใช้รถ แต่แค้นเพราะผู้ใหญ่เอาแต่ตัวเอง แล้วมาริดรอนสิทธิ์ลูกน้อง
ได้ข่าวว่า ตอนที่คนคนนี้ไปรับตำหแน่งใหม่นั้น หลวงท่านก็จัดรถประจำตำแหน่งให้ตามระเบียบ และเขาก็รับด้วย แต่เอาไปให้ภรรยาใช้ ทั้งๆ ที่ภรรยาไม่ได้ทำงาน อยู่เป็นแม่บ้านเฉยๆ และรถส่วนตัวก็มี
ยิ่งคิดยิ่งโกรธ เกลียด
แต่พอเตี่ยผมย้ายจากหน่วยงานนั้นแล้ว ไม่มีสิทธิ์อะไรในหน่วยงานนั้นแล้ว ผมก็ไม่นึกถึงเรื่องนี้อีกเลย รู้สึกโล่งหัวขมองขึ้นมาก อารมณ์แจ่มใสขึ้น
ทำให้รู้ว่า ผมเครียดเพราะผมยึดติดมากเกินไป ยังไงๆ ก็ไม่ได้สิทธิ์นั้นอยู่แล้ว ก็ถูกยักยอกไปแล้วนี่ เขาคงไม่คืนให้โง่หรอก จะเครียดทำไม
แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ชอบเขาคนนั้นอยู่ เพราะนิสัยของเขานั่นแหละครับ
อาจารย์ครับ ขอถามว่า การที่เราเครียด เป็นทุถข์ เพราะโดนเบียดบังสิทธิ์อันควรมีควรได้เนี่ย ถือว่ายึดติดรึเปล่าครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณค่ะ
หลับฝันดีนะคะ
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๓ ค่ะ... คุณ ธรรมทิพย์
แวะมาขอบคุณท่านนำพรปีใหม่ไปเยี่ยมที่บันทึก
พรใดประเสริฐในภพนี้และภพหน้าขอพรนั้นย้อนกลับมาแด่ท่านค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์วราภรณ์
ขอบคุณสำหรับความรู้และข้อคิดดีๆ ครับ
ปัญหานี้จบแล้วครับ เพราะเตี่ยผมย้ายแล้วอย่างที่บอก และเขาคนนั้นก็คืนรถแล้ว เพราะตนเองก็เกษียณแล้วครับ
และขอบอกว่า คืนตอนที่เตี่ยผมยังไม่ย้ายด้วย คือเมื่อปีที่แล้ว สรุปคือเราได้ใช้อยู่ 1 ปี แต่ถูกรอยนสิทธิ์ไปถึง 3 ปีแน่ะครับ
แต่อย่างที่อาจารย์ว่ามาแหละครับ การให้อภัยน่ะ ประเสริฐสุดๆ แล้วครับ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณธรรมทิตย์
สวัสดีค่ะ เข้ามาเรียนรู้การปล่อยวางค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ
การปล่อยวางทำให้ความทุกข์ลดลงได้จริง
การยึดติดหรือการปล่อยวางก็อยู่ที่ใจเราแท้ๆ
ไม่น่าเชื่อนะคะ..เวลาเราเป็นทุกข์มากๆ
แล้วเราคิดได้ว่าอย่าไปยึดติดกับมันเลย
เพียงคิดได้แค่นี้...ใจเราก็สงบลงได้
สวัสดีค่ะ
การปล่อยวาง ว่างให้ได้จากตัวตนอัตตา... คือทางพ้นทุกข์แท้ค่ะ
แม้จะทำยังไม่ได้ดีนัก แต่ก็ตั้งใจจะเพียรทำต่อไปค่ะ
ขอบคุณค่ะ
(^___^)
สวัสดีครับอาจารย์วราภรณ์
เรื่องสิ้นคิดนี้ ผมว่าแก้ยากนะครับ
น่าจะเกิดจากนิสัยมากกว่า
แต่ตอนนี้ไม่คิดอะไรแล้วครับ
แค้นมากก็ต่อกรรมมาก
ไม่อยากเจอกันอีกก็ไม่ต้องคิดถึง
จริฝมั้ยครับผม
สวัสดดีคะ
เป็นธรรมาสติที่แจ่มจิตยามเช้าคะ
ทุกอย่างล้วนอยู่ในไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา คะ
ขอบคุณสิ่งดีที่นำมาแบ่งปันนะคะ
สวัสดีครับอาจารย์วราภรณ์
ขอบคุณครับสำหรับคตวามรู้
มีความสุขปีใหม่นะครับ
สวัสดีปีใหม่2553 ส่งความสุขแด่คุณธรรมทิพย์
ขอตั้งจิตอธิษฐานอาราธนา
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
และสิ่งศักดิ์ทั้งหลายในโลกนี้อวยพร
ให้คุณธรรมทิพย์มีความสุขกาย สุขใจ ทุกๆวัน
และมีสุขภาพแข็งแรงทุกๆวัน
ตลอดปีใหม่2553 และตลอดไป
เมื่อคืนอ่านบท ไม่ผลักไส ไม่ใฝ่หา ในหนังสือ เบิกบานกลางคลื่นลม ที่หลวงพี่ไพศาลให้ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว สรุปได้สอนใจ
หากเรายอมรับ
ไม่ผลักไสสิ่งที่ก่อทุกข์ ไม่ดิ้นรนไขว่คว้าสิ่งที่ก่อสุข
ชีวิตก็เป็นสุขได้ทุกขณะ
มีความสุข สดชื่น สมหวัง ตลอดปี 2553 ตลอดไปนะคะ น้องครู
ขอบคุณสำหรับข้อคิดเตือนสติที่ดีคะ อ่านแล้วอยากปลง ยึดมากทุกข์มาก ยึดน้อยทุกข์น้อย อยู่แบบพอเพียงดีกว่านะคะ