Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself.
Leo Tolstoy
จากสิ่งที่ผมได้พบเจอในการบริหารงานขององค์กรนั้น โดยปกติคนเรามักจะอยากให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงมาหาเรา หลายครั้งที่มีคำพูดออกมาจากที่ประชุมว่า
“ทำไมถึงไม่ยอมเปลี่ยนวิธีคิดวิธีการทำงานกันบ้างล่ะ”
“ทำไมยังทำงานแบบเดิมๆ เปลี่ยนแปลงกันบ้างสิ”
“ตอนนี้ดิฉันเขียนระเบียบใหม่ในการจัดซื้อขึ้นมาแล้ว อยากให้ทุกคนเปลี่ยนแปลงตามระเบียบนี้ด้วย”
สังเกตสิครับ เรามักจะอยากให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงมาหาเรา มากกว่าที่เราจะเปลี่ยนไปหาคนอื่น เพราะอะไรหรอครับ ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นมันยากไงครับ เราก็เลยไม่อยากเปลี่ยน แล้วทำไมไม่คิดว่า การที่จะให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงด้วยนั้น มันก็ยากเหมือนกันแหละครับ แค่ตัวเราเองยังเปลี่ยนไม่ได้เลย แล้วจะมาคาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงนั้น ผมคิดว่า อย่าหวังเลยครับ มันยากจริงๆ
การเปลี่ยนแปลงคนอื่นนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ตัวเรายอมเปลี่ยนแปลงก่อน เปลี่ยนให้เขาเห็นว่าเราก็เปลี่ยนไปในแบบที่เราพูด หรือแบบที่เราอยากให้คนอื่นเป็น เช่น
ผู้จัดการคุยกับลูกน้องว่า “ทำไมมาสายบ่อยมาก หัดมาทำงานแต่เช้าบ้างสิ” แต่ตัวผู้จัดการเองนั่นแหละที่มาสายทุกวันให้พนักงานเห็น แล้วก็มาพูดปาวๆ ว่าให้พนักงานมาทำงานเช้าๆ แบบนี้ใครจะยอมทำล่ะครับ เขาก็คิดในใจว่า “ทีนายยังมาสายได้เลย” จริงมั้ยครับ (ผู้จัดการก็เป็นพนักงานคนนึงเหมือนกันนี่ครับ แล้วทำไมมาสายได้ล่ะ)
ปัจจุบันมีเทคนิคในการบริหารการเปลี่ยนแปลงอยู่มากมาย ถ้าใครศึกษาอย่างจริงจังจะพบว่า ในแต่ละเทคนิคนั้นเน้นไปที่การเปลี่ยนคนอื่นทั้งนั้น การจะทำอย่างไรให้คนอื่นยอมเปลี่ยนแปลง ไม่มีเทคนิคทางตะวันตกใดเลยที่บอกว่าให้เปลี่ยนที่เราก่อน จะมีก็แต่เพียงเทคนิคที่ทางศาสนาพุทธที่สอนกันมา ก็คือ “ถ้าจะเปลี่ยนคนอื่น ให้เปลี่ยนที่เราก่อน ถ้าแม้แต่เรายังไม่เปลี่ยน แล้วเราจะไปคาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยนได้อย่างไร”
เรื่องของการบริหารก็เช่นกัน ผู้บริหารบางคนนำเอาระบบงานสมัยใหม่เข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกำหนดตัวชี้วัดผลงาน การบริหารงานจัดซื้อ ต้นทุน การนำเอา Balanced Scorecard เข้ามาใช้เพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการของบริษัท แต่ตัวผู้บริหารเองไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปตามระบบที่นำเข้ามาใช้เลย
ที่ผมเคยเห็นก็คือ เรื่องการกำหนดตัวชี้วัดผลงาน ผู้บริหารระดับสูงบอกว่าจากนี้ต่อไป ทุกตำแหน่งในบริษัทจะต้องมีตัวชี้วัดผลงานที่ชัดเจน เราจะวัดผลงานกันอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว แต่ตัวผู้บริหารนั่นเองที่ไม่เคยคิดที่จะกำหนดตัวชี้วัดผลงานของตำแหน่งตัว เองเลย แล้วแบบนี้พนักงานคนอื่นๆ จะเปลียนแปลงตามได้อย่างไร เพราะผู้นำเองพูดแล้ว แต่ไม่ทำซะเอง
ดังนั้นผมว่า ถ้าเราอยากให้คนอื่นเปลี่ยน เราจะต้องพิจารณาตัวเองก่อนเลยว่า เราเปลี่ยนตัวเราเองแล้วหรือยัง
เรียน คุณประคัลภ์ ที่นับถือ
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง ว่าการเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา แต่ประเด็นที่พวกผมทำงาน คือการทำงานกับคนระดับรากหญ้า ซึ่งเราไม่ได้เข้าไปคลุกคลีกับเขาอย่างจำเจ อย่างเก่งเข้าไปให้การอบรม 3 วัน 5 วันก็จบหลักสูตร ต้องถอนตัวกลับมา แน่นอนชาวบ้านไม่มีโอกาสเห็นการเปลี่ยนพฤติกรรมของพวกผมแน่ กรณีเช่นนี้จะทำอย่างไรครับ ชาวบ้านจึงจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
เรียนคุณ สมนึก โทณผลิน
ผมเห็นด้วยครับ ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นทำได้ยาก และที่สำคัญก็คือ ต้องใช้เวลามากในการที่จะทำให้คนๆหนึ่งยอมเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่าง บางครั้งคนเราก็รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดี แต่ก็ยังทำ นั่นก็คือ ยังไม่เปลี่ยนแปลง เช่น รู้ว่าสูบบุหรี่ไม่ดี มีโทษมากมาย แต่ก็ยังไม่ยอมเลิก แปลว่า ยังไม่เกิดแรงจูงใจที่มากพอสำหรับการจะเปลี่ยนแปลงนั้นๆ
ผมเคยใช้วิธีการก็คือ ทำเป็นโครงการขึ้นมา แล้วให้คนที่อยากเปลี่ยนแปลงเข้ามาร่วมในโครงการนี้ พร้อมกับตั้งเป้าความสำเร็จร่วมกันว่า ทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกัน เพื่อให้เกิดความสำเร็จของโครงการ ซึ่งการร่วมมือนี้ก็คือ การที่ผู้ร่วมโครงการทุกคนยอมที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานบางอย่าง เพื่อผลสำเร็จ และผู้ดูแลโครงการก็จะตรวจสอบ และให้กำลังใจ พร้อมกับคอยบอกถึงความคืบหน้าที่เกิดขึ้น เพื่อให้เขาเห็นว่านี่คือผลของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น (แรงจูงใจ)
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ประมาณ 80% ของผู้ร่วมโครงการเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขึ้นหลังจากโครงการจบไปแล้ว ก็ยังไม่กลับไปทำพฤติกรรมเดิมครับ
แสดงว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะเกิดขึ้นได้ ก็คือ คนๆนั้นจะต้องเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง และต้องมีแรงเสริมที่แรงพอ รวมทั้งทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังการเปลี่ยนแปลง
ยากครับ แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถนะครับ ที่ยากก็เพราะคนเราไม่ค่อยชอบการเปลียนแปลงหรอกครับ รักสบายมากกว่า ก็เลยทำให้ต้องมีการสร้างแรงจูงใจเยอะครับ
ขอบคุณครับสำหรับความเห็น