ศีลไม่ต้องถือ


“ให้มีศีลแนบใจ ระลึกว่าสิ่งที่เรากำลังทำ เป็นศีลหรือ ไม่เป็นศีล เป็นประโยชน์หรือ ไม่เป็นประโยชน์ ครูบาอาจารย์รู้ ท่านจะสรรเสริญหรือตำหนิ พิจารณาก่อนแล้วค่อยทำ”

ช่วงหนูเริ่มเข้าสู่เส้นทางการภาวนา หนูบอกกับครูว่า “ค่ะหนูจะตั้งใจถือศีล”

ครูท่านสวนขึ้นมาทันทีว่า

“ศีลไม่ต้องถือ”

ท่านหยุด หนูรู้สึกอึ้ง ในใจมีความคิดแทรกขึ้นมามากมาย ประมาณว่า

 “อ้าวไหนว่าบอกให้มีศีล มีสมาธิ จึงจะเกิดปัญญา ใคร ๆ เขาก็ถือศีลกัน” แล้วครูก็เอ่ยต่อว่า

“ศีลไม่ต้องถือ ปฏิบัติเอาเลย ทำให้เนียนไปกับชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปแยก”

          ตอนนั้นฟังก็ยังงง ๆ มันจะเอามาปฏิบัติได้ยังไง เต็มไปด้วยความลังเลสงสัย ชีวิตต้องเจอคนมากมาย สัตว์ตั้งมากมาย เราอาจจะไปทำร้ายเขาตอนไหนก็ได้ แต่ถ้าเราไปอยู่วัด ถือศีล ก็น่าจะพอเลี่ยงได้ง่าย ๆ มันมีความคิดแบบนี้เลยค่ะ ลักทรพย์ อืมข้อนี้ก็น่าจะพอไหว ไม่ประพฤติผิดในกาม อืมก็ว่าตนเองคงไม่แย่งสามีใคร ไม่พูดปดโอ้ ข้อนี้ จะว่าไปบางที ก็เหมือนเลี่ยงได้ยาก บางที่ก็อดนินทาไม่ได้ ไม่ดื่มเหล้าอันนี้พอไหว น่าจะเลี่ยงได้บ้าง

         

       พอทบทวนดู อ้าวไหนบอกว่าเป็นชาวพุทธ ต้องมีศีล 5 อันที่ ทวน ๆ มานี่ ศีล 5 ยังไม่ครบเลย หนูรู้สึกตกใจ ที่เคยคิดว่ายังไง ๆ ตนเองก็น่าจะมีศีล 5 อุ่น ๆ ไว้เป็นทุน เอาเข้าจริง ๆ เปล่าเลย 5 ข้อนี่เป็นแบบแหว่ง ๆ พร่อง ๆ

          ครูท่านจึงแนะนำว่าลองดู เขียนแจงออกมาเลย ตอนไหนที่ผิดศีลข้อไหน แล้วส่งพี่ อยากจะบอกว่าหนูเขียนส่งครูมาเกือบ 2 ปี ไม่มีวันไหนเลย ที่ไม่เคยผิดศีล

           สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการที่ส่งการบ้านศีลและสภาวะส่งครูทุกวัน ๆ หนูรู้สึกว่า หนูทำผิดศีลน้อยลง จากที่เคยทำผิดมาก ๆ ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ใจหนูก็ค่อย ๆ สบาย ๆ ขึ้น

          มาจนถึงทุกวันนี้ก็ยังส่งท่านอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หนูก็จะเพียรพยายาม ทำให้ดีที่สุด ทำให้ดีที่สุดค่ะ ครูบอกว่า

“ให้มีศีลแนบใจ ระลึกว่าสิ่งที่เรากำลังทำ เป็นศีลหรือ ไม่เป็นศีล เป็นประโยชน์หรือ ไม่เป็นประโยชน์ ครูบาอาจารย์รู้ ท่านจะสรรเสริญหรือตำหนิ พิจารณาก่อนแล้วค่อยทำ”

         

 

          กราบขอบพระคุณครูค่ะ หนูคิดแต่ว่าหนูมีความอดทนเรียนรู้มาอย่างยาวนาน แต่การเขียนบันทึกนี้ทำให้หนูได้เรียนรู้ว่า ครูใช้ความอดทนที่มากกว่าหนูหลายเท่านัก ที่ต้องคอยอ่าน อะไร ๆ ที่หนูเขียน ทั้งที่เขียนได้เรื่องมั่ง ไม่ได้เรื่องมั่ง ต้องคอยดู คอยสังเกต คอย สั่งสอน บางทีก็ต้องคอยแบกรักสภาวะทางอารมณ์ของหนู หนูยิ่งอดทนเรียนมากเท่าไหร่ ครูยิ่งมีเมตตาและอดทนเหนื่อยยากกว่าหนูอีกหลายเท่านัก กราบขอบพระคุณครูมาก ๆ เจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
หมายเลขบันทึก: 320868เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2009 06:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ในความคิดดาวนะคะ...ศีลเป็นเพียงข้อที่เอาไว้ให้เราพิจารณาตนเองเพื่อขัดเกลา พัฒนาตนเอง

เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรมี...

จริงด้วยนะคะ..ถือศีลมันหนัก...วางศีลไว้แนบใจดีกว่า อิอิ ^v^

เขาว่ากันว่า ถ้ายังไม่ลอง อย่าพึ่งเชื่อค่ะ หมอดาว  ต้องลองทำดูแล้วจะรู้ว่าจะเป็นเช่นใด ลองแล้วเป็นไงก็ เอามาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ

ศีล สำหรับดาว แปลว่า ปกติค่ะ

ถ้ารักษาศีลแล้วย่อมทำให้ใจเราปกติ เพราะเราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร...

ดาวเองพยายามรักษาศีลแห่งความเป็นมนุษย์ในเบื้องต้น คือ ศีล 5

แต่ว่าศีลนี้ยังไม่บริสุทธิ์เต็มที่ ต้องค่อยๆ พัฒนาค่ะ คงต้องให้ติ๋วช่วยแนะนำอีกแยะ อิอิ

ขอเสนอหน้าที่ด้านด้วยคนคับ ศีลเมื่อมันจะบริสุทจิงๆ ก็ตอนที่เราภาวนาให้จิตเป็นหนึ่งนั่นแหละเป็นการสำรวมทั้งกายวาจาใจ ซึ่งปราศอกุศลกรรมบถ 10

และเป็นหนทางสู่มรรคผลนิพพาน อย่างต่ำก็อยู่ในสวรรค์ทั้ง 6ชั้นนั่นและ ขึ้นอยู่กับการสั่งสมบารมีของเราเอง เมื่อใจหรือจิตเรามันเข้าสู่ความบริสุทแล้วตามลำดับขั้นแห่งการภาวนาแล้ว การประพฤติบางอย่างภายในของเรามันก็จะค่อยๆ ละเอียดเองแหละทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยด้วยนะคับ ในชาติก่อนๆ โน้นเราอาจจะสั่งสมบางอย่างมามากเลยทำให้เราชำนาญและเข้าใจเร็ว

สู้ ๆ ค่ะ หมอดาว  เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ขอบพระคุณคุณ cจุ๊ นะคะสำหรับความรู้และข้อแนะนำ...

ขอบพระคุณติ๋วสำหรับกำลังใจที่มีให้เสมอค่ะ...^v^

ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่าน cจุ๊ ที่เมตตาแลกเปลี่ยน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท