ระหว่างเส้นทางเดินไปใส่บาตรพระ ในช่วงที่ไปปฏิบัติภาวนาที่วังน้ำเขียว ครูเอ่ยกับหนูว่า
“อย่าปล่อยให้ผู้ใหญ่รอ แม้กระทั่งจะเป็นเด็กก็ตาม ใครก็ตาม”
ครั้งนั้นครูสอนทำให้หนูมานึกย้อนในตนเอง หนูเป็นคนที่ทำอะไรก็จะมักจมลงในสิ่ง ๆ นั้น การงานนนั้น ๆ บุคคลนั้น ๆ หลายครั้งหลายครา ไม่รู้ตัวขาดสติ ล่าช้า เหมือนเป็นการขาดความใส่ใจ วินัยข้อนี้ของหนูถือว่าบกพร่อง ชอบปล่อยให้ผู้อื่นรอ ล่าช้าเป็นปกติ เป็นวิสัยที่ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน แต่ตอนที่ครูท่านเมตตาเตือนสติตอนนนั้นหนูเองก็ได้แต่กลุ้มหน้างุด ๆ จ๋อย ๆ ไม่พูดไม่จา คิดว่าตนเองโดนตำหนิ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว ท่านช่วยชี้ข้อบกพร่อง เพื่อให้ได้แก้ไข
ตอนนี้หนูพยายามระลึกไว้ว่า ทำอย่างไร จึงจะทำให้เบียดเบียนผู้อื่นให้น้อยที่สุด แม้เราจะเหนื่อย แต่ก็ให้คนอื่นเดือดร้อนน้อยที่สุด ฝึกละความเห็นแก่ตัว เพื่อให้ไม่มีตัว
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้จิตใจหนูเบิกบาน ใจสบายมากขึ้น เพ่งโทษผู้อื่นน้อยลง พยายามทำประโยชน์ ละความเห็นแก่ตัวมากขึ้น อะไรที่ครูชี้แนะ ให้คำแนะนำ หรือ สิ่งที่เห็นว่าเป็นข้อบกพร่องก็จะค่อย ๆ ปรับปรุงแก้ไข ตามสติปัญญาที่พอมี ตอนนี้คนรอบกายหนู สบายใจมากขึ้น รอหนูน้อยลง ดูแววตาใครหลาย ๆคนมีความสุขมากขึ้น บางคนก็ รู้สึกทึ่งว่า แกเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เลยเหรอ
กราบขอบพระคุณครูค่ะ ที่หนูเปลี่ยนในด้าน ดี ดี เพราะครู
อ่านแล้ว จังเลย เช้านี้ ขอบคุณค่ะ
อ่านแล้วเป็นข้ออคิดยามเช้าที่ดีมากๆคะ
"ตอนนี้หนูพยายามระลึกไว้ว่า ทำอย่างไร จึงจะทำให้เบียดเบียนผู้อื่นให้น้อยที่สุด แม้เราจะเหนื่อย แต่ก็ให้คนอื่นเดือดร้อนน้อยที่สุด ฝึกละความเห็นแก่ตัว เพื่อให้ไม่มีตัว "
ขอบคุณคะ
ขอบพระคุณค่ะ ครูอ้อย แซ่เฮ อรุณสวัสดิ์กับเช้าวันสดใส และใจใส ๆ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ข้อคิด ดี ๆ ที่ครูท่านเพียรสอน หนูจะ เพียรถ่ายทอดออกมาเป็นบันทึกให้มากที่สุดเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณที่เมตตาอ่านบันทึกหนูค่ะ
ขอบพระคุณ พิมลวรรณ สกุลไท ข้อคิดเหล่านี้หนูได้จากการปลูกฝัง ด้วยหัวจิตหัวใจ แห่งความเมตตาของครู คุณความดีที่บังเกิดหนูขอถวายแด่ท่าน ขอบพระคุณนะคะ ที่ให้กำลังใจ หนูจะตั้งใจเขียนต่อไปค่ะ
อย่า...ลืม "ครู" ที่บ้านนะ
เจ้าค่ะขอบพระคุณพี่ Ka-Poom ที่เมตตาเตือนสติ เจ้าค่ะ