ความต้องการในการจัดทำผลงานทางวิชาการของคณาจารย์
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
ผู้วิจัย : สมชาย พัทธเสน
สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
ตุลาคม 2543
ความสำคัญของปัญหา
ปัจจุบันคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย (ก.ม.) ได้จัดระบบบริหารงานข้าราชการพลเรือน โดยจำแนกออกเป็น 3 สายงาน ได้แก่ข้าราชการสาย ก. (สายอาจารย์หรือสายผู้สอน) ข้าราชการสาย ข. (สายบริการวิชาการ) และข้าราชการสาย ค. (สายบริหารและธุรการ) ซึ่งต่างก็มีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่สายงานของตนตามลักษณะของตนอีกทั้งบางตำแหน่งยังมีโอกาสได้ค่าตอบแทนจากการมีตำแหน่งทางวิชาการนอกเหนือไปจากเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี
คณะศึกษาศาสตร์เป็นคณะหนึ่งที่สังกัดมหาวิทยาลัยบูรพา มีหน้าที่ผลิตบัณฑิตออกรับใช้สังคม มีอาจารย์ที่ดำรงตำแหน่งทางวิชาการได้แก่ ตำแหน่งศาสตราจารย์ จำนวน 1 คน ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ จำนวน 17 คน ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ จำนวน 15 คน และตำแหน่งอาจารย์ จำนวน 30 คน จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า อาจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และรองศาสตราจารย์ ยังสามารถขอเสนอผลงานทางวิชาการต่อไปได้อีกหากพิจารณาข้อมูลของคณะศึกษาศาสตร์พบว่าคณาจารย์มีโอกาสที่จะเสนอผลงานทางวิชาการที่สูงขึ้นอีกในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ การส่งเสริมสนับสนุนให้อาจารย์เขียนตำราและเอกสารทางวิชาการเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งวิชาการเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้คุณภาพทางด้านวิชาการของอาจารย์ผู้สอนสูงขึ้น และเป็นที่ยอมรับกันว่าหากมหาวิทยาลัยได้มีอาจารย์ดำรงตำแหน่งทางวิชาการจำนวนมากย่อมแสดงถึงความเข้มแข็งทางวิชาการสมกับเป็นสถาบันอุดมศึกษา ทำให้สังคมยอมรับและศัทธามหาวิทยาลัยมากขึ้น
ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
1. เพื่อศึกษาความต้องการในการจัดทำผลงานทางวิชาการ ของคณาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
2. เพื่อเปรียบเทียบความต้องการในการจัดทำผลงานทางวิชาการขงคณาจารย์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยจำแนกตาม เพศ และประสบการณ์ในการทำงาน
ความสำคัญของการศึกษาค้นคว้า
1. ทำให้ทราบถึงความต้องการในการจัดทำผลงานทางวิชาการของคณาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมสนับสนุนให้ความรู้ความเข้าใจในการจัดทำผลงานทางวิชาการ
2.เพื่อเป็นข้อมูลสามารถนำมาใช้ช่วยเหลือสนับสนุนและพัฒนาคณาจารย์ให้สามารถจัดทำผลงานทางวิชาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลความก้าวหน้าทางตำแหน่งวิชาการ
3. เป็นข้อมูลที่สามารถนำมาใช้ในการสนับสนุนคณาจารย์ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านประสบการณ์ทำงาน ส่งผลให้สนองความต้องการจัดทำผลงานทางวิชาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามในการวิจัย
1. ความต้องการในการจัดทำผลงานทางวิชาการของคณาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อยู่ในระดับใด
2. ความต้องการในการจัดทำผลงานทางวิชาการของคณาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาจำแนกตามเพศ และประสบการณ์ในการทำงาน แตกต่างกันหรือไม่
สมมติฐานการศึกษาค้นคว้า
ความต้องการในการจัดทำผลงานทางวิชาการ ของคณาจารย์คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา จำแนกตามเพศและประสบการณ์ในการทำงานแตกต่างกัน
วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ คณาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่ทำหน้าที่ทำการสอน จำนวน 63 คน
2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างเลือกมาโดยการสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) และใช้เกณฎ์การเลือกขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie & Morgan,1970,p608) ได้กลุ่มตัวอย่าง 52 คน
เครื่องมือการวิจัย
แบบสอบถาม
วิธีสร้างเครื่องมือ
1. ศึกษาเอกสาร และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความต้องการจัดทำผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
2. ศึกษาเอกสารและคู่มือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคำถาม
3. นำร่างแบบสอบถามที่สร้างเสร็จแล้ว นำเสนออาจารย์ที่ปรึกษาควบคุมงานวิจัยเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและแก้ไขให้สมบูรณ์ยิ่ง
4. นำแบบสอบถามที่ปรับปรุงแล้ว ไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบความสมบูรณ์ของเนื้อหา ความเหมาะสม และความสอดคล้องของข้อคำถาม
5. นำแบบสอบถามที่แก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ เสนออาจารย์ที่ปรึกษา
6. นำแบบสอบถามที่แก้ไขปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับอาจารย์ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างคือ อาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัยบูรพา จำนวน 31 คน แล้วนำมาหาอำนาจจำแนกรายข้อ (Discrimination) โดยใช้วิธีสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (peason product moment correlation ) ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item Total Correlation) หลังจากที่นำแบบสอบถามไปทดลองใช้แล้วปรากฏว่า แบบสอบถามมีค่าอำนาจจำแนกรายข้ออยู่ระหว่าง .40 ถึง .80
7. นำแบบสอบถามที่มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อยอมรับได้จากข้อ 6 มาหาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ โดยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า ( coefficient alpha) ของคอนบาค (Cronbach, 1990,pp.202-204) ผลการหาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นที่ .97 ซึ่งแสดงว่าแบบสอบถามฉบับนี้มีค่าความเชื่อมั่นสูงสามารถนำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างได้
8. นำแบบสอบถามที่ผ่านการทดลองใช้มาแล้วมาปรับปรุงให้สมบูรณ์ เสนออาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบครั้งสุดท้าย ก่อนนำไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างต่อไป
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. วิเคราะห์ระดับความต้องการในการจัดทำผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา หาค่าเฉลี่ย และความเบี่ยงเบนมาตรฐาน
2. เปรียบเทียบความต้องการในการจัดทำผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยจำแนกตามเพศ และประสบการณ์ในการทำงานต่างกันโดยใช้ t-test
สรุปผลการวิจัย
1. ความต้องการในการจัดทำผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อยู่ในระดับมากทุกด้านเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยดังนี้ ด้านการเผยแพร่และสร้างการยอมรับ ด้านการนำเสนอผลงานทางวิชาการ ด้านการจัดทำผลงานทางวิชาการ ด้านการนำผลงานทางวิชาการไปใช้ และด้านการเตรียมการและวางแผน
2. ผลการเปรียบเทียบความต้องการในการจัดทำผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ระหว่างคณาจารย์ที่มีเพศต่างกัน พบว่า ความต้องการทุกด้านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
3. ผลการเปรียบเทียบความต้องการในการจัดทำผลงานทางวิชาการของคณาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาระหว่างคณาจารย์ในการการทำงานมากและมีประสบการณ์ในการทำงานน้อย พบว่า ความต้องการทุก้านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
เป็นแบบอย่างงานวิจัยที่ครบสมบูรณ์ครับ
ขอบคุณครับ