ทศพนธ์ นรทัศน์
ชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกัน
หลายคนคงสงสัยว่าทำไม ในเมื่อหน่วยงานภาครัฐต่างพากันจัดจ้างที่ปรึกษามาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและพัฒนาองค์กรด้วยเงินจากภาษีประชาชนมูลค่าหลายล้านบาท แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์หรือประสิทธิผลอะไรมากมายนัก หลายโครงการจบลงเพียงแค่การส่งรายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์ แล้วก็ถูกส่งไปเก็บไว้ในห้องสมุด
จากสมการการตัดสินใจให้ได้ประสิทธิผล ในหนังสือ Scenario Thinking ของ Michinari Nishimura แปลเป็นไทยโดย จักรกฤษณ์ พุ่มไพศาลชัย (2552:47-49) สมการดังกล่าวบอกไว้ว่า สูตรการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิผล
E = Q x A
E: Effectiveness (ประสิทธิผล) หรือผลลัพธ์
Q: Quality (คุณภาพ)
A: Acceptance (การเป็นที่ยอมรับ)
กล่าวคือ “การจะตัดสินใจให้ได้ประสิทธิผลที่ดีขึ้น จะต้องมีการพิจารณาถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องให้ถี่ถ้วน เพื่อให้เป็นการตัดสินใจที่มีคุณภาพที่ดี ประกอบกับจะต้องเป็นที่ยอมรับของผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจนั้นด้วย”
การที่ E จะเป็นศูนย์ หรือมีค่าน้อยมากนั้นเป็นไปได้ 2 กรณี (ไม่รวมกรณีที่ทั้ง Q และ A ต่างก็น้อยทั้งคู่) คือ (1) Q มีค่ามาก A มีค่าน้อย (2) Q มีค่าน้อย A มีค่ามาก หน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่จะอยู่ในกรณีแรก คือ Q มีค่ามาก A มีค่าน้อย กล่าวคือ หน่วยงานมีการจ้างที่ปรึกษาข้างนอกมาช่วยแนะนำในการวางกลยุทธ์ หรือวิเคราะห์การดำเนินงานขององค์กร เนื้อหาในการวิเคราะห์มีคุณภาพดี แต่การสื่อสารผลของการวิเคราะห์นั้น กับคนในองค์กร หรือการมีส่วนร่วมของคนในองค์กรมีไม่มากพอ ทำให้ในที่สุดแล้วไม่ได้พัฒนาไปถึงขั้นลงมือปฏิบัติ
ดังนั้น องค์กรภาครัฐ จึงควรพิจารณาถึงการใช้ประโยชน์จากเงินภาษีประชาชนในการจ้างที่ปรึกษาภายนอกมาเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาองค์กรให้เป็นมากกว่าการใช้จ่ายงบประมาณให้หมดไปตามที่ได้รับจัดสรร แต่ควรสื่อสารให้ทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง มิใช่เพียงจัดการสัมมนา หรือประชุมพอเป็นพิธีกรรม เพราะสุดท้ายก็จะกลายเป็นความสูญเปล่าของการใช้จ่ายงบประมาณ และแผนงานที่ได้จากโครงการศึกษาที่ได้มาก็เป็นเพียงกระดาษที่ไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติ
ขอบคุณความรู้ดีๆขอรับ
ผมก็อ่นเล่มนี้พึ่งจบครับ ดึมากเลยครับ