อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆช่วงนี้นะคะ เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน ภาระงานยุ่งๆ เครียดๆ มีความเสี่ยงต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยของพวกเราทุกคน ยิ่งกินอาหารตามใจปาก ละเลยการออกกำลังกาย แม้กระทั่งละเลยการเจริญสติ การฝึกปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก็เป็นสาเหตุให้พวกเราต้องทำใจไว้ต้อนรับโรค ภัย ไข้ เจ็บ ที่พร้อมจะมาเยือนง่ายๆ 555
รู้ทั้งรู้นะคะว่าอะไรดีๆ อะไรที่ควรทำและต้องทำ แต่ก็ยังยอมพ่ายแพ้กับกิเลส ตัณหา ราคะ ง่ายๆ ไม่สมควรเลยค่ะ (ว่าตัวเองนะคะเนี่ย) อุตส่าห์โชคดี ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ได้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ดีๆเก่งๆ ได้เรียนรู้ธรรมมากมาย ก็ยังวนอยู่กับที่ ทั้งๆที่สังสารวัฏมันยาวไกล ก็ไม่รีบหาทางไปให้พ้นๆ เฮ้อ..รำพึง รำพันมามากแล้วค่ะ อ่านเรื่องของคุณกลางชลเพื่อรักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจกันดีกว่าค่ะ..
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*
วารสารธรรมใกล้ตัว ฉบับที่ ๐๒๗ พฤหัสบดีที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
http://www.dungtrin.com/mag/?27#
จากใจบก.ใกล้ตัว - กลางชล
สวัสดีค่ะ
เฮ้อ... ตอนแรกนึกว่าฉบับนี้จะไม่ได้มาเขียนทักทายคุณผู้อ่านเหมือนเคยแล้วซิคะ
เพราะมัวแต่ไปเสียสตางค์นอนห้องแอร์ ที่มีคนคอยดูแลเช้าสายบ่ายเย็นอยู่หลายคืน : )
...โรงพยาบาลน่ะค่ะ ความไม่เที่ยงของกายแสดงให้เห็นแบบจู่โจมตั้งตัวกันไม่ทันทีเดียว
คุณหมอวินิจฉัยว่าเป็น "กรวยไตอักเสบ" อันมีเหตุมาจากนิสัยไม่ดีส่วนตัว คือ
เป็นโรคชอบอั้นปัสสาวะน่ะค่ะ เชื้อโรคไม่รู้จะไปไหน สบโอกาสเลยย้อนกลับขึ้นไปทางไต
เพิ่งดีใจมาหมาด ๆ นะคะว่า ไปวัดการเผาผลาญของร่างกายแล้วเทียบเท่าคนอายุสิบเก้า
คล้อยหลังมาไม่กี่วัน อาการแทบจะเหมือนคนอายุเก้าสิบ ช่วยเหลือดูแลตัวเองไม่ได้เลย
ไข้สูง หนาวจัด ตัวสั่นริก ๆ เจ็บบริเวณไต และกินอะไรร่างกายจะสำรอกออกหมดโดยสิ้นเชิง
รู้ตัวเลยค่ะว่า ถ้าสี่วันที่โรงพยาบาล
คือข้อสอบภาคสนามชุดใหญ่ของการเจริญสติภาวนา
ก็เอาเอฟไปตั้งแต่ข้อสอบยังแจกไม่ทันเสร็จเลย
ที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้คอยรู้สึกตัวนั้น มีแต่ความคิดแวบผ่านเข้ามาอย่างบางเบาว่า
โอย ทรมานจังเลย ก็รู้ว่าทรมาน ไม่ชอบเลย ก็รู้ว่าไม่ชอบเลย ฯลฯ
แต่ก็ทราบว่า มันไม่ใช่การระลึกรู้สภาวะที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกลางหรอกค่ะ
มีแต่ฟุ้งซ่านทรมานไปกับการป่วยไข้ แล้วก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำอะไรอย่างอื่นเอาจริง ๆ
หากเปรียบจิตของผู้ที่ภาวนาดีแล้วเสมือนปรากฏการณ์น้ำกลิ้งบนใบบัว
ซึ่งหยดน้ำนั้นทำได้เพียงตกกระทบบนพื้นผิวของใบ
และชำระล้างคราบฝุ่นสกปรกออกไปพร้อมกับน้ำแต่ละหยด
โดยที่หยดน้ำนั้นไม่สามารถจะซึมผ่านเข้าไปถึงเนื้อใบได้สักนิดเดียว
จิตใจตัวเองในช่วงนั้น ก็คงเหมือนฟองน้ำชุ่ม ๆ ก้อนหนึ่ง
ที่น้ำทุกหยดทุกเม็ดที่ตกกระทบ จะถูกซึมซับเข้าไปในเนื้อใยจนชุ่มและอุ้มไว้จนเต็ม
เปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา พร้อมจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นดีต่อไป
หลายคนอาจจะยังไม่เห็นคุณค่าว่า แล้วเราจะต้องมาหัดเจริญสติรู้สึกตัวกันทำไม
เชื่อไหมล่ะคะว่า ถ้าเราคอยระลึกรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจตามจริงได้เป็นปกติเรื่อย ๆ
เราจะมีชีวิตอยู่บนโลกตามเดิม รับรู้สิ่งที่มากระทบเราเหมือนเดิม
แต่... เราจะมีอิสระ และเป็นอิสระจากความทุกข์ได้เหมือนใบบัวกับน้ำกลิ้งนี่แหละค่ะ
แม้แต่อาการป่วยทางกาย ก็จะไม่ทำให้เราต้องทุกข์ทางใจตามไปด้วยเลย
ตอนป่วยซมไข้ โดยเฉพาะคืนแรกที่สำรอกแทบจะทุกชั่วโมงจนไม่ได้นอนตลอดคืนนั้น
ทรมานเสียจนรู้สึกเห็นคุณค่าของชีวิตที่เหลือขึ้นมาจริง ๆ ค่ะ...
ถ้าตายไปเสียตอนนั้น คงไม่มีอะไรน่าเสียดายไปกว่า
การที่ได้เจอแผนที่พ้นทุกข์ของพระพุทธเจ้าแล้ว มีครูบาอาจารย์ชี้แนะให้แล้ว
แต่ความจริงอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เรายังมิได้ทำให้แจ้งแก่ใจของเราเลย
นึกไปว่า ถ้าตายไปตอนนั้น แล้วสมมติว่าเกิดใหม่ยังโชคดีได้เป็นมนุษย์
ก็คงต้องไปผ่านกระบวนการของความไร้เดียงสา หัดเขียน ก. กา ศึกษาวิชาความรู้
พร้อมกับเผลอทำดีชั่วอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกหลายสิบปีอย่างน่าเบื่อหน่าย
ไม่รู้ต้องใช้เวลากี่สิบปีจึงจะได้เจอธรรมะของพระพุทธเจ้าอีกครั้ง
แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว... ขนาดยังไม่ได้นึกไปถึงสังสารวัฏอันยาวนานขนาดนั้นเลยนะคะ
โชคดีที่วันนี้เรายังมีเวลาที่เหลือของชีวิต...
โชคดีที่วันนี้เรายังมีลมหายใจให้ระลึกรู้ ยังมีประสาทสัมผัสให้รู้เท้าที่แตะกระทบพื้นโลก
ยังมีศักยภาพของความเป็นมนุษย์อย่างเต็มเปี่ยมที่สามารถจะใช้ทำอะไรก็ได้
ใช้ร่างกายและจิตใจที่ยังดีอยู่นี้ให้เป็นประโยชน์กันเสียตั้งแต่วันนี้เถอะนะคะ
เพราะวันที่เราอาจล้มเข้าโรงพยาบาล หรือกระทั่งเข้าโลงนั้น ไม่อาจคาดเดาได้จริง ๆ
หลังจากออกจากโรงพยาบาลไปหนึ่งวัน คุณหมอนัดให้กลับมานอนให้ยาอีกครั้ง
พยาบาลให้ยาฆ่าเชื้อโดยเดินยาผ่านเข้าเส้นเลือดด้วยความเร็ว ๒๐ มิลลิลิตร ต่อชั่วโมง
เจ็บจี๊ดเป็นระยะที่หลังมือซ้าย... แต่ต้องอดทน พยาบาลบอกไว้แล้ว ครึ่งชั่วโมงถึงจะเสร็จ
แต่อย่างน้อย เมื่อร่างกายดีขึ้นบ้างแล้ว จิตใจปลอดโปร่งขึ้น สติก็แข็งแรงขึ้นกว่าเดิม
ก็นอนเคาะนิ้วขยับกายไปพลาง เผลอไปคิดก็รู้ว่าเผลอไปคิด เจ็บก็รู้ว่าเจ็บไปเรื่อย ๆ
พอดีห้องที่นอนให้ยานั้นเป็นห้องไอซียูค่ะ เลยพลอยได้ยินบรรยากาศรอบ ๆ ที่ไม่ได้มีแต่เรา
มีคุณลุงเข้ามาคนหนึ่ง ไม่รู้เป็นอะไร ได้ยินแต่เสียงพยาบาลพูดกันวุ่นวาย ๆ อยู่อีกฟาก
สักครู่ ก็มีคุณป้าอีกคน คราวนี้เสียงดังชัดเจน หกล้มเข่าแตก โอดโอยอยู่เตียงติดกันหลังม่าน
ทั้งหมอทั้งพยาบาล ให้กำลังใจแกมขู่ให้ทำตามที่หมอบอกหน่อย มีเสียงวุ่นวาย ๆ เป็นระยะ
ใจพลอยคิดไปว่า น่าสงสารจังเลย... อยากช่วยให้คนเหล่านี้ไม่ต้องทรมานแบบนี้
แล้วก็คิดได้ว่า เป็นไปไม่ได้หรอก ในเมื่อทุกอย่างอยู่ใต้กฎของการเสื่อมอยู่ตลอดเวลา
นอนมองเพดาน.... รู้สึกชีวิตช่างเป็นทุกข์เสียจริง
ใจแวบกลับไปนึกถึงคำพูดและน้ำเสียงอันเปี่ยมด้วยเมตตาของหลวงพ่อปราโมทย์
มีครั้งหนึ่ง ที่ท่านเทศน์ให้ฟังถึง "บ้านที่แท้จริง" จำคำพูดท่านไม่ได้ชัดเจนหรอกค่ะ
แต่จำความรู้สึกวันนั้นได้ชัดเจน ท่านพูดราวกับว่า เราต่างเหมือนเด็กหลงทาง ที่หาบ้านไม่เจอ
แต่เมื่อวันหนึ่งที่เราเจอบ้านที่แท้จริงแล้ว ณ ที่นั้น จะอบอุ่นเป็นสุขอย่างมาก
เหมือนมีพ่อมีแม่อยู่พร้อมหน้า เป็นความอบอุ่นที่ไม่มีที่ไหนเสมอเหมือน
น้ำตาซึมทั้งยังลืมตา... อยากมีวันนั้น... อยากกลับไปให้เจอบ้านที่แท้จริง...
เรียนรู้ที่จะดูแลรักษาใจแล้ว ก็อย่าลืมรักษากายกันด้วยนะคะ : )
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลือกทานอาหารสักนิด พักผ่อนให้เพียงพอ ตามสูตรคลาสสิกนี่แหละ
และโดยเฉพาะสาว ๆ ออฟฟิศ ห้ามกลั้นปัสสาวะกันเป็นอันขาดเลยนะคะ
เขาบอกว่าผู้หญิงเป็นกันมากเลยทีเดียว ไตเสียขึ้นมาแล้วทีนี้เอาคืนไม่ได้แล้วจริง ๆ
ร่างกายนี่นะคะ ถ้าดูแลดี ๆ ที่ป่วยอยู่ก็ หายได้ แต่ถ้าประมาท ไม่เป็นอะไรก็ ตายได้ เหมือนกัน
ยังนึกอยู่ว่า ที่เป็นนี่ก็เพราะเรามัวแต่จมกับงาน และมองการกลั้นแต่ละครั้งเป็นเรื่องเล็กน้อย
ไม่รู้เลยว่า มันสะสมมาเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่แล้ว รู้ตัวอีกทีก็เล่นงานเสียโทรมกาย
อย่าประมาทแม้เรื่องเล็กน้อยในชีวิตเชียวนะคะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
มีสำนวนฝรั่งอันหนึ่งเขาพูดไว้ว่า "Practice makes perfect"
แล้วก็เคยได้ยินคนไปต่อท้ายไว้ค่ะว่า "…so be careful what you are practicing"
พูดง่าย ๆ ว่า การฝึกฝนทำอะไรบ่อย ๆ จะทำให้ผลลัพธ์ของมันยิ่งสมบูรณ์แบบเต็มขั้น
...เพราะฉะนั้น จงระวังเอาไว้ก็แล้วกัน ว่าวันนี้คุณกำลังฝึกฝนทำอะไรอยู่
สะอึกเลยค่ะ... สำนวนนี้ ไม่ได้หยิบยกมาพูดถึงเฉพาะการดูแลรักษาร่างกายนะคะ
แต่การใช้ชีวิตทั้งหมดของเราเลยทีเดียว ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
ถ้าประมาทแม้อกุศลกรรมเล็กน้อย ก็ระวังไว้ได้เลยว่า วันหนึ่งมันจะเป็นอกุศลกรรมเต็มขั้น
และเช่นกัน ถ้า "Practice" นั้นคือ การเจริญสติแบบสะสม เล็กสะสมน้อยตามกำลังไปทุกวัน ๆ
ผลก็คือ สัมมาสติที่งอกงามไพบูลย์ และความสุขจากภายใน ก็ย่อมรออยู่เบื้องหน้าค่ะ : )
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*
ขอให้ทุกคนร่างกายแข็งแรง มีความสุขมากๆนะคะ
บุญรักษา ธรรมคุ้มครองค่ะ
ไม่มีความเห็น