การยืดขยายเส้นเอ็น


เส้นเอ็น

  

 

จากบันทึกคำสอนของพระลามะธิเบต ซึ่งได้แนะนำเคล็ดวิชานี้เมื่อครั้งเดินทางไปประเทศจีนเมื่อปี 2538 เป็นเคล็ดวิชาในการฝึกฝนออกกำลังกายของสมอง ประสาท และหลอดเลือด เพื่อสุขภาพอนามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ ทั้งป้องกันและบำบัดโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน อัมพฤกษ์ อัมพาต เส้นเลือดแตก ตีบ ตัน   ซึ่งบางส่วนของเคล็ดวิชานี้ ปรมาจารย์ผู้ให้กำเนิดไพ่นกกระจอกได้นำไปใช้เป็นท่าหยิบไพ่ เปิดไพ่ และตีไพ่ ซึ่งผลวิจัยยอมรับว่าทำให้ไม่เป็นโรคภัยต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วด้วย. 

 

พักนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ แทบทุกสัปดาห์มักจะได้ข่าวคราวว่ามิตรคนนั้น ญาติคนนี้มีความไข้เข้าครอบงำ และเป็นความไข้เกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองแตกบ้าง หรือตีบบ้าง หรือขา แขนชา ไม่มีแรงบ้าง

แน่นอนว่าความไข้เหล่านั้นเป็นโรคภัยชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต คือเมื่อชีวิตเกิดขึ้นแล้ว ความชราก็ครอบงำเรื่อยไปตั้งแต่เกิดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งตาย และระหว่างนั้นก็อาจมีความเจ็บป่วยหรือพยาธิเข้าแทรก ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นอีก

เป็นธรรมดาของชีวิตที่ชราและพยาธิต้องครอบงำ เพราะทั้งสองอย่างนี้คืออุ้งหัตถ์ของมัจจุราชที่จะมาคร่าชีวิตไปสู่ความตาย ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้เลย

แต่เมื่อทุกคนจะต้องตายแล้วก็ควรที่จะหาทางตายให้สบาย ๆ สักหน่อย ให้มีความทุกข์ทรมานน้อยสักหน่อย โดยเฉพาะความป่วยไข้หรือพยาธิที่ทำให้เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบหรือตัน หรือแขน ขา อ่อนร้าไร้เรี่ยวแรงหรือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตนั้น ทำให้ตายอย่างทรมานและทำให้ผู้คนในครอบครัวเดือดร้อนมากและน้อยตามเวลาที่ต้องรักษาพยาบาล

           ยกเว้นก็แต่เส้นเลือดใหญ่ในสมองแตกแล้วตายไปเลยก็ตายสบายหน่อย เดือดร้อนวุ่นวายน้อยสักหน่อย และผลาญทรัพย์สมบัติน้อยลงหน่อย

           วันนี้จึงจำเป็นที่จะต้องแสดงเรื่องวิชาบางเรื่องที่พอป้องกันแก้ไขหรือเยียวยาพยาธิหรือความป่วยไข้ที่เกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองแตก ตีบ ตัน หรือแขน ขาไร้เรี่ยวแรงหรืออัมพฤกษ์อัมพาตได้ ขอท่านทั้งหลายได้สนใจศึกษาพิจารณาและลองฝึกฝนปฏิบัติดู เพราะไม่เสียเวลา ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ยุ่งยากลำบากอะไรเลย

           จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ลองศึกษาพิจารณาทำความเข้าใจและฝึกฝนดูก่อนก็ได้ ไม่เสียหายอะไรเลย คิดเสียว่าลองของเล่นสนุก ๆ เพื่อความเพลิดเพลินบันเทิงใจก็ได้ แต่ถ้าได้มรรคผลขึ้นมาก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพชนิดที่น่าพิศวงทีเดียว

           เป็นผลดีต่อการป้องกันแก้ไขหรือเยียวยาความป่วยไข้หรือพยาธิที่ว่ามาข้างต้นนี้ได้ แค่นี้ก็นับว่าเป็นบุญโขและคุ้มค่ายิ่งแล้ว

           หลักวิชาที่ว่านี้มีชื่อว่า “เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น” ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาโบราณคล้าย ๆ กับหลักวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นของปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งเส้าหลิน แต่ต่างกันตรงที่มุ่งบำบัดรักษาโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด ประสาท และเส้นเอ็น และเนื้อแท้ก็คือการออกกำลังชนิดหนึ่ง แต่ไม่เหมือนกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเป็นการออกกำลังจากภายใน ทำนองที่หนังสือกำลังภายในเรียกว่าเดินพลังปราณนั่นเอง

           เรารู้จักกันแต่การออกกำลังกายซึ่งเป็นเรื่องของภายนอก ไม่ว่าการวิ่ง การจ็อกกิ้ง การเล่นฟิตเนส การว่ายน้ำ หรืออะไรในทำนองเดียวกันนี้ ล้วนแต่เป็นการออกกำลังกายภายนอกทั้งนั้น

           ในส่วนภายในคือหัวใจ ตับ ไต ปอด ม้าม เส้นเลือดต่าง ๆ และเส้นประสาทต่าง ๆ ไม่ได้ออกกำลังกายตามไปด้วย หรือถ้ามีการขยับขับเคลื่อนบ้างก็เป็นผลต่อเนื่องและบางครั้งก็ได้รับอันตรายด้วยซ้ำไป

           การออกกำลังจากภายในนั้นเป็นหลักวิชาที่มีมานับพัน ๆ ปี แต่น่าเสียดายที่ไม่แพร่หลายเข้ามายังบ้านเมืองของเรา เพราะถูกอิทธิพลหลักวิชาทางตะวันตกปิดกั้นครอบคลุมเอาไว้จนหมดสิ้น อย่างมากจึงได้แค่อ่านจากหนังสือกำลังภายในแล้วก็ไม่รู้ไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร หรือไม่ก็อาจคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเพ้อฝันเท่านั้น

           ความจริงมันมีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่เรายังไม่รู้แล้วก็รีบชิงปฏิเสธเสีย แล้วถือว่าสิ่งที่ยังไม่รู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มี ทั้งๆ ที่สิ่งที่ไม่รู้นั้นมีมากกว่าสิ่งที่รู้สุดจะประมาณนัก

           การป่วยไข้เพราะเหตุเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบหรือตัน หรือแขน ขาอ่อนกำลัง หรือที่เรียกว่าเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตนั้นเป็นความป่วยไข้ที่มีเถือกเถาเหล่ากอเดียวกัน คือเกิดจากเส้นเลือดหรือหลอดเลือดหรือท่อเลือดโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสมองหรือส่วนที่เชื่อมใกล้ชิดกับสมองและยังเชื่อมโยงกับเส้นประสาทต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อจากสมองไปยังมือไม้ แขนขา

           ชีวิตเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความแก่ก็ติดตามมาควบคู่กัน ยิ่งกินอาหาร ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ทำให้อายุขัยสั้นลง ไม่ว่าการกินของมันมาก ๆ การพักผ่อนน้อย ๆ การดื่มของเมามาก ๆ หรือยึดมั่นถือมั่นในสิ่งไร ๆ มาก ๆ ไม่รู้จักปล่อยปละละวาง ก็จะทำให้เส้นเลือดและเส้นประสาททั้งหลายเปราะบาง ตีบแคบ หรือมีการอุดตันขึ้น

           ไม่ต้องดูอะไรมาก ให้ดูจากท่อน้ำทิ้งหรือท่อน้ำประปาที่ใช้กันอยู่ทุกบ้านเรือนก็ได้ พอใช้ไป 2 ปี 3 ปี ก็มีความเกรอะกรัง ทำให้ท่อตีบตันและแตก ฉันใด เส้นเลือดและเส้นประสาทในร่างกายนี้ก็เป็นฉันนั้นไม่ต่างกันเลย

           ความจริงทั้งเส้นเลือด เส้นประสาทก็มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความตายสลายไปเป็นธรรมดาเหมือนกัน เป็นแต่ว่าเราแทบไม่รู้เพราะมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เซลล์ต่างๆ ย่อมแก่ตัว ย่อมตายไปและหลุดออกไป แล้วมีเซลล์ใหม่เกิดขึ้นแทนที่เป็นลำดับ ๆ ไป จนกระทั่งเมื่ออายุขัยล่วงไปมาก ๆ เข้าเซลล์ใหม่ก็เกิดน้อยลง แข็งแรงน้อยลง แล้วทำให้อ่อนแอลงโดยลำดับ กระทั่งตาย

           นอกจากนั้น คนเรายังมีวิธีการเอาสิ่งเกรอะกรังหรือทำให้ความตีบตันบรรเทาลงหรือหายไปได้ ไม่ว่าด้วยการใช้ยาหรือด้วยการประพฤติปฏิบัติตนบางประการ ในที่นี้ไม่พูดถึงการใช้ยา แต่พูดถึงการประพฤติปฏิบัติตน



           บางทีก็เรียกว่าเป็นการเดินกำลังภายในหรือเป็นการเดินพลังปราณอย่างหนึ่ง แต่จะเรียกว่าอย่างไรไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ปฏิบัติให้บังเกิดผลต่างหาก

           ดังนั้นหลักวิชาที่ว่านี้คือการประพฤติปฏิบัติตนด้วยตนเอง ทำแทนกันไม่ได้ ใช้เวลาไม่มาก แต่ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะสัมฤทธิผลเป็นแน่นอน

           เริ่มต้นกันที่เวลาประพฤติปฏิบัติตนตามหลักวิชานี้ก่อน ให้เริ่มทำครั้งแรกตอนตื่นนอน คือไม่ว่าจะตื่นนอนเวลาไหนก็ประพฤติปฏิบัติไป ใช้เวลาสัก 10 นาที หรือ 15 นาที หรืออย่างน้อยแค่ 5 นาทีก็ได้ สุดแท้แต่ความจำเป็นหรือความสามารถจะปฏิบัติได้

           การประพฤติปฏิบัติเมื่อตื่นนอนนั้น ขณะนี้สอดคล้องกับหลักวิชาทางตะวันตกแล้ว เพราะผลการวิจัยทางการแพทย์แผนตะวันตกนั้นพบว่าคนเราตายในเวลากลางคืนถึง 70% ตายในเวลากลางวันแค่ 30%

           ปมเงื่อนของมันคือ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายในเวลากลางคืนซึ่งเป็นเวลานอนนั้นมีมากกว่าเวลากลางวัน เพราะเมื่อคนเรานอนหลับ น้ำตาลในเลือดจะลดต่ำ การทำงานของสมองก็ลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น คือเหลือเฉพาะส่วนที่เรียกว่าระบบควบคุมสำรองหรือระบบ stand by ของอวัยวะบางส่วนเท่านั้น ในขณะที่อวัยวะสำคัญ ๆ อื่นก็จะพักหรือแทบจะหยุดทำงาน

           ครั้นตื่นขึ้นร่างกายปรับสู่ภาวะปกติ หากลุกขึ้นทันทีก็อาจรองรับกับความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน และเป็นเหตุให้หลายคนเส้นเลือดในสมองแตกหรือล้มลงหลังจากผุดลุกในทันทีทันใดที่ตื่น

           ดังนั้นการเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติในทันทีที่ตื่นนอน โดยทำบนที่นอนนั้นจึงเท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้เส้นเลือดแตกหลังตื่นนอนได้อย่างมีผลยิ่ง และทำให้ร่างกายปรับสภาพจากสภาพที่เป็นอยู่ในขณะหลับสู่ภาวะตื่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ยิ่งเป็นคนมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปแล้ว การปรับสภาพอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้คือการป้องกันอันตรายจากการตายแบบฉับพลันทันทีได้อีกด้วย

           ดังนั้นจึงพึงตั้งใจเอาไว้ว่าทันทีที่รู้สึกตัวตื่นก็ให้นอนอยู่นิ่ง ๆ ก่อน อย่าเพิ่งผุดลุกผุดนั่งไปไหน เตรียมกาย เตรียมใจที่จะฝึกวิชาที่ว่านี้

           ระยะเวลาที่ฝึกฝนปฏิบัติ ถ้าจะให้ได้ผลดีก็อยู่ระหว่าง 15-20 นาที แต่ถ้าจำเป็นหรือมีภารกิจเร่งด่วนก็ควรทำอย่างน้อยสัก 5 นาที ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ก็จะเห็นผลชัดว่าเมื่อลุกขึ้นก็จะลุกขึ้นอย่างสะดวกสบาย แคล่วคล่อง ว่องไวและมีความรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น นั่นเพราะร่างกายมีความพร้อม และได้ปรับสภาพจากภาวะหลับสู่ภาวะตื่นอย่างเต็มที่แล้ว

           อยากจะรับรองว่าถ้าทำได้ทุกวัน ๆ ละ 20 นาทีก็จะมีชีวิตยืนยาวอย่างน้อย 80 ปี โดยไม่มีวันที่เส้นเลือดในสมองจะแตกหรือตีบหรือตัน ไม่มีวันที่จะเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตเป็นอันขาด หรือถ้าใครเป็นและถ้าฝืนใจกล้ำกลืนปฏิบัติตนให้ได้ ไม่ช้าไม่นานเกิน 6 เดือนดอกก็จะได้สัมผัสกับชีวิตใหม่ที่มีความเป็นปกติสุขมากขึ้น

           การปฏิบัติตามหลักวิชานี้ใช้เพียงแค่ฝ่ามือทั้งสองและฝ่าเท้าทั้งสองเท่านั้น โดยเวลาเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติ ให้นอนหงาย เหยียดเท้าทั้งสองตรง และทอดมือทั้งสองไว้ข้างลำตัวในลักษณะตรง หงายมือทั้งสองขึ้น

           เมื่อนอนนิ่งในลักษณะที่ยืดแขน ขาให้ตรง พร้อมกับหงายฝ่ามือทั้งสองดังกล่าวแล้ว ก็ให้ลองเกร็งแขนทั้งสองก่อนแล้วค่อย ๆ เคลื่อนไปถึงฝ่ามือทั้งสอง เพิ่มความเกร็งขึ้นเหมือนกับการถือลูกน้ำหนักไว้ในมือ เคลื่อนการเกร็งไปมาสัก 2-3 ครั้ง

           ถัดจากนั้นก็ลองเกร็งขาในลักษณะเดียวกัน คือเกร็งจากโคนขาไปก่อนถึงหัวเข่า ถึงหน้าแข้ง ถึงตาตุ่ม และเท้าทั้งสอง เคลื่อนการเกร็งจนสุดปลายนิ้วเท้าแล้วเคลื่อนกลับทวนขึ้นมา

           ย้อนลงไป เคลื่อนขึ้นมา ย้อนลงไป เคลื่อนขึ้นมา แล้วย้อนลงไป เพียงเท่านี้ก็เท่ากับได้ลองกำลังหรือพลังจากภายในกายนี้แล้ว อาจจะรู้สึกเหนื่อยบ้างก็เป็นธรรมดา ซึ่งต้องตระหนักรู้ว่าการเคลื่อนพลังภายในนั้นแม้ใช้เวลาอันน้อยอันสั้น แต่ความเหนื่อยจะเหมือนกับการออกกำลังกายภายนอกมาก ๆ นั่นเอง

           เมื่อพูดถึงเวลาเริ่มต้นการปฏิบัติ ระยะเวลาที่ใช้และการเตรียมดังกล่าวแล้วก็มาถึงกระบวนท่าที่จะฝึกหรือปฏิบัติ ซึ่งมีอยู่ 3 กระบวนท่าง่ายๆ ไม่ยากไม่ลำบากเลย

           กระบวนท่าแรก มีชื่อเรียกว่า อินทรีขยุ้มเหยื่อ

           กระบวนท่าที่สอง มีชื่อเรียกว่า เสือบี้เห็บ

           กระบวนท่าที่สาม มีชื่อเรียกว่า กรายเล็บกรีดพิณ”.

นี้ไปก็จะเป็นการเริ่มปฏิบัติหรือฝึกปฏิบัติในกระบวนท่าที่หนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ” 

            เริ่มต้นด้วยการยกมือทั้งสองข้างที่วางราบตรงไว้ข้างลำตัวขึ้นมาไว้ในลักษณะตั้งฉากกับลำตัว ข้อศอกชิดลำตัวและติดกับพื้น ตอนที่ยกมือขึ้นมาให้หุบนิ้วทั้งห้า เอาปลายนิ้วจรดกัน แล้วค่อย ๆ เกร็งแขนจากแขนท่อนบนขึ้นไปยังแขนท่อนล่าง ขึ้นไปที่มือและปลายนิ้วทั้งห้า แล้วขยับเคลื่อนการเกร็งโดยลำดับอีกครั้งหนึ่ง ลงไปยังจุดเดิม แล้วเคลื่อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง 

            ขั้นที่สอง ให้อ้านิ้วทั้งห้าออกในลักษณะกางนิ้ว แล้วงุ้มนิ้วเข้ามาประดุจดังกรงเล็บอินทรี และเกร็งพลังไว้ที่นิ้วทั้งห้า จากนั้นก็ขยุ้มนิ้วทั้งห้าจนปลายนิ้วทั้งหมดจรดที่ฝ่ามือ 

            ขั้นที่สาม คลายนิ้วที่จรดจรดอยู่ที่ฝ่ามือ แล้วค่อย ๆ กางออกไปยังลักษณะแบมือ

            เมื่อกระทำในขั้นที่สามแล้วก็กลับไปเริ่มขั้นที่หนึ่ง สอง และสามใหม่ กระทำเช่นนี้สัก 5 นาที ในขณะเดียวกันก็เริ่มเกร็งพลังที่โคนขา เคลื่อนไปยังหน้าแข้ง เท้า และปลายนิ้วเท้า ในลักษณะอย่างเดียวกัน แต่คงไม่เหมือนกันแน่เพราะนิ้วเท้าสั้น ไม่อาจกระทำในลักษณะงอแบบขยุ้มได้ ก็ให้กระทำและเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกันก็เป็นอันใช้ได้ 

            เมื่อขยับมือและเท้าดังกล่าวแล้ว จากนั้นก็ให้กระทำพร้อมกันทั้งมือและเท้าอีกสัก 5 นาที

            ในระหว่างปฏิบัตินั้น อาจจะได้ยินเสียงเส้นเอ็นและข้อกระดูกลั่นดังกรุ๊บกรั๊บ หรือกร๊อบแกร๊บ หรือกรึ๊บกรึ๊บ ก็อย่าได้ตกใจประการใด ให้สังเกตเสียงดังนั้นให้จงดี

            ถ้าลักษณะของเสียงดังกรุ่บกรุ่บ หรือกรึ๊บกรึ๊บ ก็แสดงว่าข้อกระดูกต่าง ๆ ยังมีความเป็นปกติดีเป็นส่วนใหญ่ แต่เส้นเอ็นและพังผืดเริ่มจะติดยึดกันบ้างแล้ว การปฏิบัติเช่นนี้จะส่งผลในภายหน้าให้การติดยึดของเอ็นและพังผืดค่อย ๆ คลายตัว จนมีความเป็นปกติในที่สุด 

            ถ้าเสียงดังกร๊อบกร๊อบ ก็แสดงว่าข้อกระดูกต่าง ๆ เริ่มติดยึดหรือติดขัดหรือเกิดความไม่สะดวกขึ้นแล้ว อันเป็นอาการเริ่มต้นของโรครูมาตอยหรือโรคไขข้อ หรือสภาพที่กระดูกเสื่อมไปเพราะอายุขัยที่ล่วงไปก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ต้องใช้อาหารเข้าช่วยบ้าง คือกินอาหารจำพวกที่มีแคลเซี่ยมเพิ่มขึ้น เพื่อบำรุงกระดูกให้สมบูรณ์แข็งแรง 

            แต่ถ้าเสียงดังแกร๊บแกร๊บ ก็แสดงว่ากระดูกข้อต่างๆ เริ่มบางลง ซึ่งมีมาแต่เหตุสองสถาน คือเพราะความแก่ชราอย่างหนึ่ง หรือเพราะโรคข้อกระดูกที่ทำให้ไขกระดูกไม่สมบูรณ์ เปราะบาง จึงเกิดเสียงดังแกร๊บแกร๊บ ถ้าถึงขั้นนี้แล้วก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อบำรุงกระดูกอย่างจริงจังให้มากขึ้น 

            แต่พึงระวังว่ายาบำรุงกระดูกทุกชนิดมีผลข้างเคียงมาก อาจเกิดโรคกระเพาะ ลำไส้ หรือแพ้ยาจนตายไปเลยก็ได้ และถ้าตัดใจได้ว่าจะเยียวยาโดยวิถีธรรมชาติก็หมั่นกินอาหารที่บำรุงกระดูก ดื่มน้ำสะอาด หรือปฏิบัติตนโดยการดื่มน้ำ 5 แก้วก็จะยิ่งได้ผลดี เห็นทีจะฟื้นฟูให้ดีได้ หรืออย่างร้ายอาการก็จะไม่ทรุดในระดับเดิม

            ระยะเวลาปฏิบัติ 5 นาทีหรือ 10 นาทีในท่านี้ ให้สังเกตดูโดยแยบคายก็จะพบว่าอาการตึงหรือความเครียดหรือความติดขัดบริเวณต้นคอหรืออาการปวดบริเวณศีรษะจะเหมือนมีอะไรมากระตุ้นปรี๊ดปรี๊ด หรือจี๊ดจี๊ด สักครู่หนึ่งก็จะค่อยบรรเทาเบาลงไป 

            ในกรณีรู้สึกปวดจี๊ดที่ศีรษะ แสดงว่าการเกร็งกำลังอาจจะมากเกินไป ดังนั้นในระยะต้นก็ให้ผ่อนการเกร็งลงมาสักหน่อยหนึ่ง อาการปวดจี๊ดที่ศีรษะก็จะบรรเทาลง จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มพลังขึ้นโดยสอดคล้องกับความรู้สึกเจ็บจี๊ดจี๊ดที่น้อยลงนั้น 

            หากมีอาการเช่นนี้ก็จงรู้เถิดว่ามันมีอะไรมาอุดหรือเกรอะในท่อหรือเส้นเลือดในบริเวณสมองแล้ว แต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องตกใจ เพราะนี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าพลังที่ขับเคลื่อนไหนั้นเริ่มกระตุ้นให้สิ่งที่ติดขัดหรือเกรอะกรังหรือตีบตันค่อยๆ ทะลุทะลวงเป็นลำดับ ๆ ไป 

            เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็อย่าเป็นคนใจร้อนด่วนหาย เพราะความใจร้อนนั้นไม่เป็นคุณประโยชน์อันใดเลย ทำความเข้าใจเสียว่ายังมีเวลาอีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องรีบต้องร้อน ถ้านึกสนุก ๆ ก็นึกเสียว่าเราจะปฏิบัติรักษาตัวแบบนี้ไปสัก 50-60 ปีก็ไม่เห็นเป็นไรเพราะมีความหมายอยู่ในตัวว่าจะยังไม่ตายใน 50-60 ปีนี้ นี่เป็นเรื่องกล่าวสนุก ๆ เล่น ๆ เพื่อเป็นกำลังใจในการฝึกปฏิบัติเท่านั้น 

            เพียงไม่ถึง 5 นาทีที่ปฏิบัติก็จะรู้สึกเหนื่อย บางครั้งก็มีเหงื่อออก เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอวัยวะภายในได้รับการออกกำลังด้วยวิธีการเดินพลัง ซึ่งเป็นทำนองเดียวกับการออกกำลังภายนอก 

            เป็นแต่ว่าการออกกำลังในภายในนี้มันมีผลกระทบและเกิดโดยตรงขึ้นกับหัวใจ ปอด ตับ ไต สมอง และประสาททั้งมวล ดังนั้นแม้แค่เวลา 5 นาทีก็มีผลไม่ต่างกับการ จ็อคกิ้งหรือวิ่งรอบสนาม 30 นาทีเลย 

            เริ่มต้นทำได้อย่างนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี ย่อมมีผลมาก เมื่อหมั่นทำทุกวันเข้าก็จะได้รับผลและอานิสงส์ของการปฏิบัติตนเป็นลำดับ ๆ ไป จนในที่สุดสิ่งที่เคล็ดขัดยอดหรือติดขัดในกาย หรือสิ่งที่ตีบตันเกรอะกรังอยู่ในประสาทหรือเส้นเลือดหรือท่อเลือดต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ สร่างหายไปจนเป็นปกติ

            การปฏิบัติอย่างนี้มีเป้าหมายทำให้กายนี้มีความเป็นปกติตามสภาพที่พึงเป็น เพราะถึงเป็นวิชาที่ล้ำเลิศประการใดก็ไม่อาจล่วงพ้นกฎแห่งพระไตรลักษณ์ได้ คือไม่อาจห้ามหรือหนีความชราไปได้เลย แต่ว่าให้มันช้าสักหน่อย จนอายุค่อย ๆ เคลื่อนไปใกล้กัปหรือถึงกัปนั่นแล

            ไม่เกินเดือนหรือ 45 วันดอก ก็จะรู้สึกว่าร่างกายมีความเบา มีความคล่องตัว หูตา การเคลื่อนไหวฉับไวขึ้น แม่นยำขึ้น อาการปวดศีรษะหากเคยเป็นก็จะหายไป อาการติดขัดตามคอ ตามไหล่ แขน ขา หรือเท้าก็จะหายไป นี่เรียกว่าได้นำพากายนี้ให้ถึงซึ่งความเป็นปกติแล้ว 

            แต่เท่านั้นก็ยังคงไม่พอ สำหรับผู้ที่มีความปรารถนาให้เกิดความก้าวหน้ามากขึ้นก็ปฏิบัติให้สูงขึ้นได้อีก ทำนองเดียวกับหลักปฏิบัติในวิชาพลังเอกธาตุ คือหลอมกาย ใจ และปราณ ให้เป็นหนึ่งเดียว 

            หมายความว่าเมื่อฝึกฝนและปฏิบัติจนมีความชำนาญ ร่างกายเข้าสู่ความเป็นปกติแล้ว ก็ใช้โอกาสนั้นฝึกปราณและฝึกใจในระดับที่สูงขึ้นไปด้วย ก็จะได้รับอานิสงส์อันประเสริฐ สมกับที่ได้เกิดมาเป็นเวไนยสัตว์ 

            เริ่มต้นด้วยการประสานกายกับปราณก่อน นั่นคือเมื่อขยายนิ้วมือออกก็ให้หายใจออกให้หมดปอด เวลาขยุ้มนิ้วมือก็ให้หายใจเข้าให้เต็มปอด พยายามรักษาความสม่ำเสมอของระยะการขยายหรือการขยุ้มมือกับระยะการหายใจให้สอดคล้องต้องกัน 

            หายใจออกหมดปอดเมื่อใด นิ้วมือก็กางขยายเต็มที่เมื่อนั้น 

            หายใจเข้าเต็มปอดเมื่อใด นิ้วมือก็ขยุ้มเข้ามาจนจรดฝ่ามือเมื่อนั้น

            นี่คือหลักการประสานกายและปราณให้เป็นเอกภาพ ตามหลักวิชาพลังเอกธาตุ

            จากนั้นก็ผนึกจิตหรือใจกับกายและปราณให้เป็นเอกภาพต่อไป โดยสละละวางความนึกคิดทั้งปวงเสีย หันมาสนใจเพ่งเล็งอยู่ที่ปลายนิ้วมือหรือที่ปลายจมูกก็ได้เพียงจุดเดียวตลอดระยะเวลาที่หายใจออกและหายใจเข้า 

            ฝึกฝนจนชำนาญก็จะเกิดความสัมพันธ์ที่เป็นเอกภาพระหว่างกาย ใจ และปราณ ซึ่งก็คือการบรรลุถึงขั้นสูงประการหนึ่งในการฝึกพลังเอกธาตุด้วย 

            ต่อไปก็จะเป็นกระบวนท่าที่สอง ที่มีชื่อเรียกว่า เสือบี้เห็บ 

            การเลียนแบบธรรมชาติของสัตว์โดยเฉพาะเสือนั้นมีมาช้านานและถูกนำไปใช้ในหลักวิชาหลายแขนง ดังเช่นในตำราพิชัยสงครามก็มีวิธีจัดตั้งค่ายและวางรี้พลในลักษณะท่าทางของเสือ ในการฝึกวิชายุทธ์ของสำนักเส้าหลินและอีกหลายสำนักก็ใช้กริยาอาการตามธรรมชาติของเสือมาเป็นพื้นฐานการฝึกฝน 

            การฝึกฝนปฏิบัติในกระบวนท่าที่สองนี้ก็มีพื้นฐานมาจากธรรมชาติประการหนึ่งของเสือ คือเป็นปกติของสัตว์ทั้งหลายที่มักจะมีสัตว์เล็ก ๆ เบียดเบียน เช่น เห็บ เหาหรือหมัด ซึ่งจะเกาะอาศัยอยู่ตามซอกนิ้วมือนิ้วเท้า แล้วกัดกินดูดเลือดของเสือ ทำให้เกิดความรำคาญ เป็นที่มาแห่งโรค และบางครั้งก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ความตายได้ด้วย

            กระบวนท่า เสือบี้เห็บ ก็คือการนำพื้นฐานจากการที่เสือใช้อุ้งตีนบดขยี้บี้เห็บ เหา หรือหมัดนั่นเอง 

  กระบวนท่า “เสือบี้เห็บ” เป็นกระบวนท่าที่สองต่อจากกระบวนท่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ” ดังนั้นเมื่อได้ฝึกหรือปฏิบัติกระบวนท่าแรกครบเวลาที่จะฝึกแล้ว ก็เริ่มฝึกหรือปฏิบัติในกระบวนท่าที่สองต่อไปได้เลย

ในกระบวนท่าที่สองนี้ ปมสำคัญอยู่ที่การเกร็งพลังที่หนักหน่วงเข้มข้นขึ้นกว่ากระบวนท่าแรก ในทำนองเดียวกับเสือที่ใช้อุ้งเล็บบดขยี้หมัด เหา หรือเห็บที่ซุกซ่อนอาศัยอยู่ในซอกเท้า ซึ่งต้องใช้กำลังมาก ต้องเกร็งมาก เพื่อบดขยี้ตัวหมัด เหา หรือเห็บตัวเล็ก ๆ ซึ่งเกาะดูดเลือดอยู่ในซอกเท้านั้น


หากกำลังและความหนักหน่วงไม่มากพอ ก็จะไม่สามารถบี้หรือบดขยี้หมัด เหา หรือเห็บให้ตายได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะเหตุนี้กระบวนท่านี้จึงต้องใช้การเกร็งกำลังหรือการเคลื่อนกำลังมากขึ้นหรือเพิ่มขึ้นกว่ากระบวนท่าแรกอย่างน้อยก็หนึ่งเท่าตัว
 

            อย่างไรแค่ไหนจึงจะเรียกว่าเพิ่มกำลังขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัว ก็ให้สังเกตประมาณเอาด้วยตนเองก็จะรู้ได้ไม่ยากไม่ลำบากเลย และเมื่อใช้การเกร็งหรือเดินพลังมากขึ้นเช่นนี้ ก็จะมีเสียงดังปรากฏมากขึ้นกว่ากระบวนท่าแรกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่พึงตกใจหรือประหลาดใจเช่นเดียวกัน แต่ต้องตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเสียงที่ดังนั้นในประการที่ได้พรรณนามาแล้วในกระบวนท่าแรก
ด้วยความเข้าใจว่าเมื่อใช้พลังหรือเกร็งพลังมากขึ้น ซุ่มเสียงที่ไม่เคยปรากฏก็อาจปรากฏขึ้น ที่เคยปรากฏและเบาบางลงไปแล้วก็จะกลับดังขึ้นมาใหม่อีก นั่นเป็นเพราะพลังที่เพิ่มขึ้น ค่อย ๆ ฝึก ค่อย ๆ ปฏิบัติ ค่อย ๆ ทำไปโดยลำดับ ๆ เมื่อกายนี้มีความเป็นปกติตามที่พึงเป็นแล้ว เสียงทั้งหลายก็จะเป็นอันบรรเทาเบาบางหรือหมดไป


            และนั่นย่อมหมายความว่าการตีบตันหรือความเกรอะกรังทั้งหลายได้ถูกขจัดอย่างแรงให้บรรเทาเบาบางและหายไปด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อเข้าใจปมเงื่อนและกำหนดการเคลื่อนพลังหรือเพิ่มกำลังมากขึ้นเช่นนี้แล้วก็มาทำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนท่าที่สองนี้

            เป็นกระบวนท่าที่มีกิริยาอาการต่อเนื่องจากกระบวนท่าแรก คือยกมือตั้งฉากโดยข้อศอกติดพื้นชิดกับลำตัวเช่นเดียวกับกระบวนท่าแรก กางนิ้วทั้งห้าออก แล้วงอนิ้วทั้งห้าไว้ที่ระดับข้อนิ้ว ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ ปลายนิ้วหัวแม่มือจะมีลักษณะที่ตั้งฉากกับนิ้วชี้เสมอ โดยนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยนั้นจะงอในลักษณะตะขอหรือเบ็ด


            เมื่องอข้อนิ้วเช่นนี้อาจจะมีความรู้สึกปวดหรือเจ็บหรือตึงหรือติดขัดบ้าง แต่จะน้อยกว่าหรือเท่า ๆ กับท่าขยุ้มเหยื่อในกระบวนท่าแรก แต่ที่ยังเจ็บหรือปวดหรือตึงอยู่ก็เพราะเมื่อมีการเดินพลังหรือเพิ่มกำลังมากขึ้น ลักษณะการเกร็งก็จะเพิ่มขึ้น ความเจ็บปวดหรือขัดก็จะมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ถือเสียว่าเป็นการดัดตัวดัดตนอย่างหนึ่งก็ได้ และเมื่อดัดตนในลักษณะนี้บ่อยครั้งเข้า ที่ติด ที่ขัด ที่เจ็บ ที่ปวดก็จะค่อย ๆ สร่างคลายหายไป แล้วจะงอได้อย่างง่ายดายและสบายๆ


            เมื่อใดที่นิ้วงอได้ตามรูปแบบกระบวนท่านี้ก็พึงรู้เถิดว่านิ้วซึ่งเป็นส่วนปลายอวัยวะของมือ ซึ่งประสาทส่วนปลายนิ้วก็เป็นส่วนปลายประสาทด้วย ได้มีความกระชุ่มกระชวย แข็งแรง และมีความเป็นปกติ มีความอ่อน มีความเหนียวหยุ่น คล่องตัว เช่นเดียวกับมือไม้ของเด็ก ๆ หรือผู้ที่ได้รับการฝึกบัลเล่ต์

แค่นี้ก็เห็นได้แล้วว่าความหนุ่มสาวได้บังเกิดขึ้นหรือกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็เป็นอานิสงส์หรือเป็นผลอย่างกระจุ๋มกระจิ๋มของการฝึกหรือการปฏิบัติตนเช่นนี้ ก็แลเมื่อปลายนิ้วหรือปลายประสาทส่วนมือซึ่งเมื่อถึงวัยหนึ่งเวลาหนึ่งย่อมเชื่องช้าติดขัดเพราะความชราหรือเพราะวัยหรือเพราะโรคภัยใด ๆ ได้ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติอย่างหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นเรื่องพึงอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น


            เมื่องอนิ้วดังกล่าวแล้ว ก็เกร็งพลัง เดินพลัง และเพิ่มพลังให้มากขึ้น จากนั้นก็ขยับหัวแม่มือไปทางด้านนิ้วก้อย แล้วโน้มนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อยลงมายังฝ่ามือด้านล่าง ไล่เรียงกันไปโดยลำดับ ให้โคนนิ้วทุกนิ้วเบียดชิดแน่นในลักษณะบดบี้เข้าหากันให้มากที่สุด


            การเคลื่อนนิ้วไล่เรียงเป็นลำดับดังนี้ก็เพื่อฝึกสมองส่วนบัญชาการให้บัญชาการเส้นประสาทและหลอดเลือดที่บังคับนิ้วแต่ละนิ้วให้เคลื่อนไหวเป็นรายนิ้วไป ทำให้เกิดการจำแนกแยกแยะและแม่นยำในการบังคับบัญชาประสาทเส้นเลือดแต่ละนิ้วได้ดังใจ


            เพราะเมื่อคนเรามีอายุถึงวัยหนึ่ง ระบบบังคับบัญชาของสมองและการสั่งการประสาทตลอดจนหลอดเลือดต่าง ๆ จะมีความสับสนเกิดขึ้น เช่น แทนที่จะกระดิกนิ้วเดียว นิ้วก็กระดิกถึงสองนิ้ว หรือสามนิ้วเป็นต้น นี่คือความสับสนของระบบบัญชาการของสมองประสาท หลอดเลือด และอวัยวะที่สัมพันธ์กันอยู่
การฝึกหรือปฏิบัติตอนเริ่มต้นจะกดโน้มนิ้วหัวแม่มือก่อน แล้วไล่เรียงนิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลาง และนิ้วก้อยลงมาข้างล่างในลักษณะประชิดบดขยี้กันโดยลำดับ ครั้นมีความชำนาญแล้วก็ปฏิบัติในทางปฏิโลมต่อไป


            การฝึกหรือปฏิบัติในทางปฏิโลมก็คือการโน้มนิ้วก้อยลงมาฝ่ามือข้างล่างก่อน ตามมาด้วยนิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ และหัวแม่มือตามลำดับในลักษณะเช่นเดียวกัน


            ให้สังเกตดูให้ดีว่าการเดินพลังหรือการเพิ่มกำลังนั้นเพียงพอหรือไม่ และนิ้วแต่ละนิ้วประชิดติดกันในลักษณะบดขยี้บี้กันหรือไม่ พึงเข้าใจว่ากำลังต้องเพียงพอ นิ้วแต่ละนิ้วต้องประชิดติดกันในลักษณะบดขยี้ที่สามารถบี้หรือขยี้เหา เห็บ หรือหมัดให้ตายได้อย่างไรก็ต้องอย่างนั้น


            ปฏิบัติไปเช่นนี้อย่างน้อย 5-15 นาที คราวนี้จะรู้สึกว่าเหนื่อยกว่ากระบวนท่าแรก เหตุผลอยู่ที่การเพิ่มการเกร็งพลังหรือการเดินพลังที่มากกว่ากระบวนท่าแรกถึงหนึ่งเท่าตัวนั่นเอง


            แต่เมื่อฝึกหรือปฏิบัตินานไป ๆ ชำนาญเข้า ๆ ก็จะเหนื่อยน้อยลง ทำนองเดียวกับคนออกกำลังกายวิ่งหรือจ็อคกิ้ง ที่เมื่อปฏิบัติสม่ำเสมอแล้วก็จะทำให้เหนื่อยช้าลง ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ฉันใดก็ฉันนั้น

            เมื่อฝึกหรือปฏิบัติจนชำนาญมากขึ้น ๆ นิ้วทุกนิ้วก็จะเคลื่อนไหวในลักษณะที่แม่นยำมีพลังหรือกำลังอย่างหนักหน่วง อย่างคล่องตัวได้ดังใจ เสียงทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆ หายไป

คำสำคัญ (Tags): #เส้นเอ็น
หมายเลขบันทึก: 317110เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2009 02:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 17:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

อ่านแล้วกำลังผึกแต่ท่าที่สาม กรายเล็บดีดพิณไม่มีช่วยเขียนเพิ่มด้วย ขอบคุณคั๊รบ

ขอบพระคุณค่ะ

สาะ ดีมากคะ

มีประโยชน์ดีมากค่ะ ขอบคุณที่แบ่งปันสิ่งดีๆใหอยากให้เขียนท่าต่อไปเพิ่มด้วยค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท