วันที่ 24 พฤษภาคม ข้ามฝั่งไปศึกษาดูงานที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ภาพที่ผมเปรียบเทียบกับ 10 กว่าปีที่แล้วที่ผมเคยมา
ช่วงนั้นยังไม่ได้สร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
ซึ่งดูสงบเงียบเชียบและถ้าเปรียบเทียบความเจริญทางวัตถุจะห่างไกลจากบ้านเราหลายเท่า
มาวันนี้ประเทศลาวเริ่มพัฒนามากขึ้นระบบการตรวจคนเข้าเมืองเข้มงวด
รัดกุม มีการฉีดยาฆ่าเชื้อโรคล้อรถยนต์ก่อนเข้าเมือง
เมื่อผ่านเข้าสู่เมืองเวียงจันทร์ผ่านถนนล้านช้าง
ซึ่งเป็นถนนสายหลัก(คงเทียบได้กับถนนราชดำเนินของเรา) มีตึกราม
อาคารธุรกิจ ธนาคารตั้งเรียงราย เป็นหย่อม ๆ
ตลอดสาย
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเอกลักษณ์ไว้คือ ศิลปวัฒนธรรมของชาติที่เป็นจุดดึงดูดให้คนต่างชาติมาเยือน
เช่น วัดวาอาราม อย่างน้อยก็ วัดหลวง วัดพระแก้ว ฯลฯ
ความมีน้ำใจที่ใสซื่อ การพูดจาด้วยภาษาที่ไพเราะของคนลาว
การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ (สุภาพสตรีนุ่งผ้าซิ่น)
การไว้ผมยาวของหญิงสาวลาว เป็นต้น
สิ่งที่เป็นแบบอย่างที่น่าศึกษาอีกประการหนึ่ง คือ การดำรงชีวิตด้วย
“เศรษฐกิจพอเพียง” กินง่าย
อยู่ง่าย ปลูกผัก ทำนา จับปลา เลี้ยงสัตว์กินกันเอง
ข้าราชการเงินเดือนคิดเป็นเงินไทยโดยเฉลี่ยเพียง 1,000
กว่าบาท ( 1 บาท = 260 กีบ ) ก็สามารถดำรงชีวิตแบบพอเพียง
ท่ามกลางค่าครองชีพในตัวเมืองที่สูงลิ่ว
หนุ่มสาวจีบกันไม่ต้องไป
ค๊อฟฟี่ช้อปหรือศูนย์การค้าเหมือนบ้านเรา
เพียงแค่พากันไปทานน้ำเต้าหู้ในตลาดกลางคืนคนละถ้วยก็หวานแหววพอแล้ว
ผมเห็นความขัดแย้งกันระหว่างการเติบโตทางธุรกิจเชิงวัตถุกับวิถีชีวิตของชาวลาวที่อยู่อย่างพอเพียง
ที่ชาวบ้านไม่สามารถปฏิเสธกระแสโลกาภิวัตน์และความเจริญทางวัตถุได้
เนื่องด้วยความได้เปรียบทั้งด้านการศึกษา
เทคโนโลยี และทุนนิยมจากกระแสภายนอก จึงทำให้คิดว่า
“
เศรษฐกิจแบบพอเพียง”
ที่นี่ถ้าไม่แข็งแกร่งพอก็จะถูกกลืนด้วยกระแสทุนนิยมที่คืบคลานเข้ามา
ซึ่งการที่ชาวลาวเคยถูกปลูกฝังให้รักความสบาย
ไม่ต้องเรียนหนังสือ ให้นอนกลางวัน ฯลฯ
เมื่อถูกปกครองโดยชนต่างชาติในอดีต
ก็เป็นจุดอ่อนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ถูกกลืนได้ง่ายเข้า
การจะดำรงวิถีชีวิตที่พอเพียงของชาวลาวให้อยู่ได้จึงขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารประเทศ
ที่จะมี จุดพอดี ณ จุดใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งมั่นพัฒนาด้านการศึกษาที่จะทำให้คนมีปัญญา
เกิดความสำนึกที่ดีต่อบ้านเมือง และทักษะการดำรงชีวิต
ก็น่าจะเป็นปัจจัยชี้ขาดในเรื่องนี้…
<div>
</div>
ไม่มีความเห็น