บันทึกนี้ตั้งใจจะเขียนขึ้นเมื่อวาน (๒๓ พ.ย. ๒๕๕๒) แต่ไม่มีเเรงเพราะเหนื่อยกับการเดินทางไปประชุมมาทั้งวัน
รู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับบางเรื่อง และเข้าใจว่าทุกคนก็ไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย คณะอนุกรรมการติดตามการให้สถานะบุคคลแก่เด็กจะลงพื้นที่ไปแม่ฮ่องสอน (ประชุมสัญจร) ๒ วัน โดยนั่งเครื่องบินไป แต่มีเหตุผลบางอย่างที่เราไม่สามารถนั่งเครื่องบินไปได้ แต่เราก็ตั้งใจว่าจะนั่งรถทัวร์ตามไปได้ (เพราะที่ผ่านมาก็นั่งรถทัวร์จนชินแล้ว)
ต่อมาเมือ่วานได้มีโอกาสคุย เตรียมงานเรื่องจะไปแม่ฮ่องสอนกับครูนิด จึงบอกไปว่า "อาจจะไม่ได้ไปด้วย เพราะกลัวว่าจะเดินทางไม่ไหว" แต่ใจหนึ่งก็บอกไปว่า "ดูก่อน อาจนั่งรถทัวร์ตามไป" แต่ครูนิดก็โต้แย้งทันควันว่า "ฐานะอนุกรรมการ อย่างไรก็บินได้ ไม่ใช่เป็นพนักงานราชการทั่วไปซึ่งระดับ c ไม่ถึงแน่นอน"
แล้วทันใดนั้นครูนิดก็เริ่มกระบวนการ fact finding จากคนโน้นที คนนี้ที (ไม่แน่ใจว่ามีใครบ้าง) เราก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า "เราเป็นตัวปัญหาหรือเปล่าเนี่ย" ทำให้ทุกคนเดือดร้อน รู้สึกเหนื่อยใจอีกครั้งกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ แต่ ครูนิดก็บอกว่า "อย่าคิดอย่างนั้น มันเป็นที่ระบบ หลักการ ต่อสู้เพื่อหลักการไม่ใช่เพื่อมิวคนเดียว" แม้ว่าจะทำให้เราดีขึ้น แต่ในใจก็อดไม่ได้ที่จะคิด แ่ต่อย่างไรก็ตามก็เข้าใจได้
วันนี้ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๒) ทางพี่ ๆ ที่คณะอนุฯ โทร.มาบอกว่า "มิว ดีใจด้วยนะที่มิวเดินทางไปพร้อมคณะได้เเล้ว พอดีว่าให้ทางหัวหน้าเซ็นต์อนุมัติ บอกถึงความจำเป็น....." และอะไรอีกหลายประโยคตามมา แต่ไม่ค่อยได้ฟังเท่าไรแล้ว รู้สึกดีใจ (ไม่ใช่แค่ว่าเราได้ไป แต่ดีใจที่การต่อสู้เพื่อระบบ เพื่อหลักการ ในที่สุดก็ลุล่วงไปได้)
ทำให้เราได้เรียนรู้อย่างหนึ่ง การต่อสู้เพื่อตัวเองมันอาจดูเหมือนเป็นการเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ แต่ถ้าเพื่อให้มันถูกต้องและควรจะเป็น ก็ควรทำอย่างยิ่ง เเละเชื่อว่าทุกคนก็คงเห็นด้วยนะคะ
สิ่งที่สำคัญ ก็คือ
เหตุผลที่ไม่ค่อยได้ฟังนั่นแหละ
มิฉะนั้น คราวหน้า ก็ต้องเจรจาอีก
ผลของการต่อสู้เพื่อหลักการในครั้งนี้ ก็คือ ความยุติธรรม และเท่าเทียมกัน
ต่อไปนี้มันจะกลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับทุกคนที่เข้าเงื่อนไขเดียวกับมิว
มันไม่ใช่การแสวงหาความชอบธรรมส่วนตน
แต่เป็นความชอบธรรมของคนในสถานการณ์เดียวกันต่างหาก
ดีใจด้วย
ไหม