ตอนที่ 39
ลูกชายแน่นอนครับเรียนสวนกุหลาบฯ
เมื่อลูกชายจบประถมศึกษาปีที่ 6 การที่จะไปเลือกที่เรียนคงไม่ต้องเลือกเพราะในเขตพื้นที่ได้สวนกุหลาบ แต่กว่าจะเข้าได้ก็ยุ่งยากพอสมควรต้องออกแรงกันนิดหน่อย เพราะในช่วงนั้นมีการจำกัดจำนวนคนพื้นที่ว่าจะรับได้เท่าไหร่ เรื่องของเรื่องปีที่ลูกชายจะเข้าดันมีคนเข้ากันเยอะ ผอ.จะใช้วิธีจับฉลาก แต่ทางผู้ปกครองไม่ยอมเพราะการเกินมาแค่ 30 กว่าคนนั้นไม่น่าจะมีปัญหา แต่ปัญหาก็สามารถยุติลงได้ด้วยการเจรจาตกลงกัน
ลูกชายเรียนไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่ ที่บอกว่าไม่มีปัญหาสักเท่าไหร่เพราะเมื่อสมัยผมเรียนมีปัญหามากกว่าเขาเยอะ ของลูกชายจะมีการต่อยกันบ้างเป็นธรรมดาเพราะเป็นโรงเรียนชายล้วน ปัญหาในสมัยนั้นที่สำคัญคือปัญหายาเสพติด จนครูและผู้ปกครองต้องร่วมมือกันจัดเครือข่ายผู้ปกครองช่วยเหลือสอดส่องดูแลซึ่งกันและกัน ผมจำได้ว่าผมเป็นเลขา มีอาจารย์เครือวัลย์ เป็นประธาน ในการจัดทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางโรงเรียนเปิดช่องทางให้ผู้ปกครองมาทำกิจกรรมร่วมกันกับนักเรียน เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองรู้จักกัน ตรงนี้ผมถือว่าดีมาก ๆ เราสามารถประคองลูกของพวกเราในเครือข่ายไปด้วยดี กิจกรรมที่ร่วมกันทำกับพ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กปีหนึ่งเราทำอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับลูกก็นำมาปรึกษาหารือกัน
ผมต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เค้าสอนให้เด็กรักกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ดีมาก ๆ เมื่อจบจากสวนกุหลาบแล้วทุกคนยังคบหาสมาคมกันอยู่เรื่อย ๆ จนในบางครั้งดูเหมือนว่าอะไรมันจะรักกันมากถึงขนาดนั้น บางทีอดนึกอิจฉาลูกไม่ได้ว่าลูกมีเพื่อนที่ดีหลาย ๆ คน ทุกคนยังไปมาหาสู่กันอยู่ แต่ส่วนใหญ่ลูกชายผมจะเป็นฝ่ายไปหาเพื่อน ๆ เหมือนกับผมตรงนี้แหละที่คบใครแล้วคบจากใจ ในบางครั้งเมื่อมีโอกาสก็สอนลูกเหมือนกันว่าสมัยพ่อนั้นเพื่อนกินนั้นหาง่ายแต่เพื่อนที่มีความจริงใจกับเรานั้นดูจะหายาก
เมื่อจบ ม.3 แล้วจะเรียนสายไหนดีลูกถามผม คนเป็นพ่อเป็นแม่เช่นเคยผมก็บอกไปเหมือนกับที่ได้เคยพูดกับลูกสาวว่าเรียนวิทย์คณิตซิดี เพราะเวลาเอนทรานส์เลือกได้หลายอย่าง ลูกชายไม่ขัดข้องทั้ง ๆ ที่ตนเองรู้อยู่แก่ใจว่าคณิตศาสตร์ไม่เก่งเอาเสียเลย แต่ในเมื่อพ่อแม่อยากให้เรียนก็เรียน มารู้ตอนหลังจากครูประจำชั้น หรือครูแนะแนว ว่าลูกชายน่าจะเรียนทางสายศิลป์ เพราะมีความสามารถพิเศษในหลาย ๆ ด้านในการพูด โดยเฉพาะน่าเรียนนิเทศศาสตร์เมื่อจบ ม. 6 แต่เอาล่ะเมื่อตั้งใจตามที่พ่อแม่ขอให้เรียน ลูกเลือกที่จะเรียนสายวิทย์ ตามใจพ่อแม่ สาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่เรียนเดาน่ะครับยังไม่ได้ถามลูก อาจจะมีเพื่อนที่ซี้กันเรียนตรงนี้ซะส่วนใหญ่เลยเรียนซะเลย
ในช่วงที่จะจบ ม. 3 จริง ๆ แล้วลูกชายอยากจะเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ พ่อแม่สนับสนุนโดยการไปหาที่เรียนให้ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ไปเรียนไม่กี่วันก็ล้มเลิกในที่สุด คงคิดแล้วว่าไม่ไหวเพราะไม่ได้เก่งทางคำนวณ ไม่ได้เก่งวิทย์ จะเล่นกีฬาอย่างเดียวคงไม่ได้ ช่วงนั้นเสียเงินฟรีเพื่อเข้าครอสโครงการนักเรียนนายร้อยตำรวจ ผมคิดว่าถูกแล้วที่ลูกไหวตัวทัน และหากยังมุ่งมั่นที่จะสอบให้ได้หากไม่ได้ขึ้นมาก็คงต้องเสียใจ เสียเงินไม่เท่าไหร่หาได้ แต่เสียใจนิซิมันซึมลึก
ลูกเรียนที่สวนกุหลาบฯ 6 ปี เต็ม ๆ ผมเข้าใจว่าการเรียนของผู้ชายล้วนนั้นเป็นอย่างไร การพูดการจานั้นอาจจะไม่ไพเราะเพราะพริ่ง ดูพูดกันออกจะห้าว ๆ แต่มันก็มาจากใจ ไม่ว่ากัน แต่เวลาพูดกับผู้ใหญ่จะต่างกัน ผมคิดเหมือนกันว่าก็ยังดีที่พูดกับผู้ใหญ่ยังมีความไพเราะบ้าง
เมื่อจบ ม.6 แล้ว ลูกลองไปสอบตรงที่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง คณะนิติศาสตร์ เช่นเดียวกับพี่สาว ผลสอบออกมาสอบได้ และเสียค่าลงทะเบียนเรียบร้อย แต่เมื่อมาปรึกษาหารือกันทั้งพ่อแม่ และลูกแล้ว ให้ลองส่งคะแนน เพื่อเอนทรานส์ ผลปรากฏว่าได้ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นิติศาสตร์ จากที่เลือกไว้ของคณะสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ กับนิติศาสตร์ ปัจจุบันเรียนอยู่ปี 3 เช่นเดียวกับพี่สาว เพราะพี่สาวไป AFS หนึ่งปี และไปญี่ปุ่นอีกหนึ่งปี ก็เลยต้องมาจบพร้อม ๆ กัน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าอยากจะเป็นตำรวจอยู่อีกหรือเปล่า ไม่แน่น่ะครับ หากเค้ายังมีความคิดที่จะเป็นตำรวจอยู่อีก สมัยนี้ไม่จำเป็นต้องจบจากนายร้อยตำรวจ ก็เป็นตำรวจสัญญาบัตรได้
ไม่มีความเห็น