ธรรมะของครู-อาจารย์


สติกำหนดลมหายใจเข้า-ออก อันผู้ใดไม่อบรมให้สมบูรณ์ ทั้งกาย ทั้งจิตของผู้นั้นก็หวั่นไหว

 

                   นโม  ตสฺส  ภควโต  อรหโต  สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.    (  3 จบ)

                        อานาปานสฺสติ ยสฺส         อปริปุณฺณา อภาวิตา

                        กาโยปิ อิญฺชิโต              โหติ จิตฺตมฺปิ โหติ อิญฺชิตํ.

            สติกำหนดลมหายใจเข้าออก   อันผู้ใดไม่อบรมให้บริบูรณ์ ทั้งกาย   ทั้งจิตของผู้นั้นก็หวั่นไหว.

 

          บัดนี้  อาตมภาพจักได้ชี้แจงแสดงพระธรรมเทศนาอันเป็นหลักธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ตามที่ครู-อาจารย์ได้เคยสั่งสม อบรมให้ไว้  มาบรรยายถ่ายทอดสู่สาธุชน คือคณะอุบาสก-อุบาสิกาผู้ประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมในไตรมาส  ปีพุทธศักราช  2552 นี้  ให้ได้เข้าใจในหลักธรรมและนำไปประพฤติปฏิบัติ  ตามสมควรแก่กาลเวลาสืบต่อไป

 

ธรรมะของครู-อาจารย์

          ญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาทั้งหลายได้เป็นผู้เคารพนับถือพระพุทธศาสนาและเป็นผู้ประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลานาน ญาติโยมคงเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะในพระพุทธศาสนาจากครู-อาจารย์มาก็มาก ซึ่งครู-อาจารย์บางท่านก็สอนอย่างพิสดารกว้างเกินไป จนไม่ทราบว่าจะกำหนดเอาไปปฏิบัติได้อย่างไร บางท่านก็สอนลัดเกินไป จนผู้ฟังยากที่จะเข้าใจ เพราะว่ากันตามตำรา  บางท่านก็สอนพอปานกลาง ไม่กว้างและไม่ลัด เหมาะที่จะนำไปปฏิบัติจนตัวเองได้รับประโยชน์จากธรรมะนั้นๆ พอสมควร

        อาตมาจึงใคร่อยากจะเสนอข้อคิดและการปฏิบัติ ซึ่งเคยได้รับคำแนะนำจากครู-อาจารย์ทั้งหลายอยู่เป็นประจำให้ญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาทั้งหลายได้ทราบบ้าง  บางทีอาจจะเป็นประโยชน์แก่ญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาผู้สนใจอยู่บ้างก็เป็นได้

        ญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาทั้งหลาย  ผู้ที่จะเข้าถึงพุทธธรรมนั้น เบื้องต้นญาติโยมจะต้องทำตนให้เป็นคนมีความซื่อสัตย์สุจริตอยู่เป็นประจำ  และเข้าใจความหมายของคำว่า  พุทธธรรม  เสียก่อนว่า

        พุทธะ หมายถึง  ท่านผู้รู้ตามเป็นจริง จนมีความสะอาด สงบ สว่างในใจ

          ธรรม  หมายถึง  ตัวความสะอาด สงบ สว่าง ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา

          ดังนั้น  ผู้ที่เข้าถึงพุทธธรรม ก็คือ คนเข้าถึง  ศีล-  สมาธิ - ปัญญา นั่นเอง

การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรม

        ครู-อาจารย์กล่าวไว้ว่า ตามธรรมดาการที่บุคคลจะไปถึงบ้านถึงเรือนได้นั้น มิใช่บุคคลที่มัวนอนคิดเอา  เขาเองจะต้องลงมือเดินทางด้วยตนเอง และเดินทางให้ถูกทางด้วย  จึงจะมีความสะดวก และถึงที่หมายได้ หากเดินผิดทาง   เขาจะได้รับอุปสรรค เช่น พบขวากหนาม เป็นต้น และยังไกลที่หมายออกไปทุกทีๆ หรือบางที ก็อาจจะได้รับอันตรายในระหว่างทาง  ไม่มีวันที่จะเข้าถึงบ้านได้ เมื่อเดินไปถึงบ้านแล้วจะต้องขึ้นอยู่อาศัยพักผ่อนหลับนอนเป็นที่สบายทั้งกายและใจ  จึงจะเรียกว่า คนถึงบ้านได้โดยสมบูรณ์

        ถ้าหากเป็นแต่เพียงเดินเฉียดบ้าน หรือผ่านบ้านไปเฉยๆ คนเดินทางผู้นั้น จะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากการเดินทางของเขา ข้อนี้ฉันใด การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรมก็เหมือนกัน ฉันนั้น  ทุกๆ คนจะต้องออกเดินทางด้วยตนเอง ไม่มีการเดินแทนกันได้  และต้องเดินไปตามทางแห่งศีล สมาธิ ปัญญา จนถึงซึ่ง       ที่หมาย ได้รับความสะอาด สว่าง และสงบ นับว่าเป็นประโยชน์เหลือหลายแก่       ผู้เดินทางเอง  แต่ถ้าหากผู้ใดมัวแต่อ่านตำรา  กางแผนที่ออกดูอยู่ตั้งร้อยปีร้อยชาติ ผู้นั้นไม่สามารถไปถึงที่หมายได้เลย  เขาจะเสียเวลาไปเปล่าๆ ปล่อยประโยชน์ที่ตนจะได้รับให้ผ่านเลยไป   ครู-อาจารย์เป็นผู้บอกให้เท่านั้น  ญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาทั้งหลายได้ฟังแล้วจะเดินหรือไม่เดิน  และจะได้รับผลมากน้อยเพียงใดนั้น  มันเป็นเรื่องเฉพาะตน   เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ทำให้อาตมานึกถึงปรัชญาของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งกล่าวไว้ว่า   จะปลูกพืชต้องเตรียมดิน   จะกินต้องเตรียมอาหาร  จะพัฒนาการต้องเตรียมคน  จะพัฒนาคนต้องพัฒนาที่จิตใจ  จะพัฒนาใครเขาต้องพัฒนาที่ตัวเราก่อน  โดยสรุปจากปรัชญานี้ก็คือ  การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรมนั้น  เราต้องทำเอง  เริ่มต้นด้วยตัวเอง  จึงจะสามารถถึงที่หมายได้ด้วยตัวของตัวเอง

 

อย่ามัวอ่านสรรพคุณยาจนลืมกินยา

        อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนหมอยายื่นขวดยาให้กับคนไข้  ข้างนอกขวดเขาเขียนบอกสรรพคุณของยาไว้ว่า แก้โรคชนิดนั้นๆ  ส่วนตัวยาแก้โรคนั้นอยู่        ข้างในขวด   หากคนไข้มัวอ่านสรรพคุณของยาที่ติดไว้ข้างนอกขวด  อ่านไปตั้ง  ร้อยครั้งพันครั้ง คนไข้ผู้นั้นก็จะต้องตายเปล่า โดยไม่ได้รับประโยชน์จากตัวยา    นั้นเลย  และเขาจะมาร้องตีโพยตีพายว่าหมอไม่ดี ยาไม่มีสรรพคุณ แก้โรคอะไรไม่ได้  เขาจึงเห็นว่ายาที่หมอให้ไว้ไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เคยเปิดจุกขวดรินยาออกกินเลย

          เพราะมัวแต่ไปติดใจอ่านฉลากยา ซึ่งติดอยู่ข้างขวดเสียจนเพลิน  แต่ถ้าหากเขาเชื่อหมอจะอ่านฉลากครั้งเดียวหรือไม่อ่านก็ได้ แต่ลงมือกินยาตามคำสั่งของหมอ  ถ้าคนไข้เป็นน้อย เขาก็หายจากโรค แต่ถ้าหากเป็นมาก อาการของโรคก็จะทุเลาลง และถ้าหากกินบ่อยๆ โรคก็จะหายไปเอง ที่ต้องกินยามากและบ่อยครั้ง     ก็เพราะโรคของเรามันมาก  เรื่องนี้เป็นธรรมดาเหลือเกิน ดังนั้นญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาทั้งหลาย  จงใช้สติปัญญาพิจารณาให้ละเอียดจริงๆ จึงจะเข้าใจดี

          จากข้อเปรียบเทียบเรื่องนี้สรุปได้ว่า  ยา  จะมีสรรพคุณเลิศเลอขนาดไหน  ก็ไร้ประโยชน์  ถ้าคนไข้ไม่ได้กิน  เพราะโรคจะหายหรือทุเลาได้ก็เพราะคนไข้ได้กินยาตามคำสั่งของแพทย์  ไม่ใช่เพียงอ่านสรรพคุณข่างขวดหรือซองยาเท่านั้น  การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน  บุคคลจะบรรลุธรรมได้ ก็ต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้น ฉันได้ก็ฉันนั้น

 

สรีระโอสถและธรรมโอสถ

        พวกแพทย์พวกหมอเขาปรุงยาปราบโรคทางกาย  ซึ่งเรียกว่า สรีระโอสถ      ส่วนธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นใช้ปราบโรคทางใจ เรียกว่า ธรรมโอสถ   ดังนั้นพระพุทธองค์จึงเป็นแพทย์ผู้ปราบโรคทางใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โรคทางใจเป็นได้ไวและเป็นได้ทุกคนไม่เว้นเลย  เมื่อญาติโยมรู้ว่าญาติโยมนั้นเป็นไข้ทางใจ  ญาติโยมจะลองไม่ใช้ ธรรมโอสถ  รักษาบ้างดอกหรือ

 

เข้าถึงพุทธธรรมด้วยใจ

          ญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาทั้งหลาย   ทุกท่านจงพิจารณาดูเถิดว่า การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรมมิใช่เดินด้วยกายแต่ต้องเดินด้วยใจ  จึงจะเข้าถึงได้ ได้แบ่ง       ผู้เดินทางออกเป็น 3 ชั้น คือ

        ชั้นต่ำ ได้แก่ ผู้รู้จักปฏิญาณตนเองเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอาศัย  ตั้งใจปฏิบัติตามคำสั่งสอนด้วยดี ละทิ้งประเพณีที่งมงายและการเชื่อมงคลตื่นข่าว  จะเชื่ออะไรต้องพิจารณาเหตุผลเสียก่อน คนพวกนี้เรียกว่า สาธุชน

          ชั้นกลาง หมายถึง ผู้ปฏิบัติจนเชื่อต่อพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย รู้เท่าทันสังขาร พยายามสละความยึดมั่นถือมั่นให้น้อยลง มีจิตเข้าถึงธรรมะ ที่สูงขึ้นเป็นขั้นๆ ท่านเหล่านี้เรียกว่าพระอริยบุคคล ได้แก่ พระโสดาบัน         พระสกทาคามี  และพระอนาคามี

          ชั้นสูง ได้แก่ ผู้ปฏิบัติจนกาย วาจา ใจ เป็นพุทธะ เป็นผู้พ้นจากโลก        อยู่เหนือโลก หมดความยึดถืออย่างสิ้นเชิง เรียกว่า พระอรหันต์  ซึ่งเป็น          พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด

 

การทำตนให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์

        ศีลนั้น คือระเบียบควบคุมรักษากาย-วาจา-ใจ ให้เรียบร้อย ว่าโดยประเภทมีทั้งของชาวบ้านและของนักบวช แต่เมื่อกล่าวโดยรวบยอดแล้วมีอย่างเดียว คือ เจตนา ในเมื่อเรามีสติระลึกได้อยู่เสมอเพื่อควบคุมใจให้รู้จักละอายต่อการทำชั่วเสียหาย และรู้สึกตัวกลัวผลของความชั่วจะตามมา พยายามรักษาใจให้อยู่          ในแนวทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกที่ควรเป็นศีลอย่างดีอยู่แล้ว ตามธรรมดา เมื่อเราใช้เสื้อผ้าที่สกปรกและตัวเองก็สกปรก ย่อมทำให้จิตใจอึดอัดไม่สบาย แต่ถ้าหากเรารู้จักรักษาความสะอาดทั้งร่างกายและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ย่อมทำให้จิตใจผ่องใส เบิกบาน  ดังนั้นเมื่อศีลไม่บริสุทธิ์เพราะกายวาจาสกปรก ก็เป็นผลให้จิตใจ     เศร้าหมอง ขัดต่อการปฏิบัติธรรม และเป็นเครื่องกั้นใจมิให้บรรลุถึงจุดหมาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจิตใจที่ได้รับการฝึกมาดีหรือไม่เท่านั้น เพราะใจเป็นผู้สั่งให้พูดให้ทำ ฉะนั้นเราจึงต้องมีการฝึกจิตใจต่อไป

 

การฝึกสมาธิ

        การฝึกสมาธิ ก็คือการฝึกจิตของเราให้ตั้งมั่นและมีความสงบเพราะตามปกติ จิตนี้เป็นธรรมชาติดิ้นรน กวัดแกว่ง ห้ามได้ยาก รักษาได้ยาก ชอบไหลไปตามอารมณ์ต่ำๆ เหมือนน้ำชอบไหลสู่ที่ลุ่มเสมอ พวกเกษตรกรเขารู้จักกั้นน้ำไว้       ทำประโยชน์ในการเพาะปลูกต่างๆ มนุษย์เรามีความฉลาดรู้จักเก็บรักษาน้ำ เช่น กั้นฝาย  ทำทำนบ  ทำชลประทาน เหล่านี้ก็ล้วนแต่กั้นน้ำไว้ทำประโยชน์ทั้งนั้น พลังงานไฟฟ้าที่ให้ความสว่างและใช้ทำประโยชน์อื่นๆ ก็ยังอาศัยน้ำที่คนเรารู้จักกั้นไว้นี่เอง  ไม่ปล่อยให้มันไหลลงที่ลุ่มเสียหมด ดังนั้นจิตใจที่มีการกั้นการฝึกที่ดีอยู่    ก็ให้ประโยชน์อย่างมหาศาลเช่นกัน ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า "จิตที่ฝึกดีแล้ว นำความสุขมาให้  การฝึกจิตให้ดีย่อมสำเร็จประโยชน์" เป็นต้น

        ญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาลองสังเกตดูแม้แต่สัตว์พาหนะ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ก่อนที่เราจะเอามาใช้งานได้ ก็ต้องฝึกเสียก่อน เมื่อฝึกดีแล้วญาติโยมทั้งหลาย  จึงได้อาศัยแรงงานมันทำประโยชน์นานาประการได้

 

จิตที่ฝึกดีแล้วมีคุณค่ามากมาย

        ญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาทั้งหลายก็คงทราบอยู่แล้วว่า จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมมีคุณค่ามากมายกว่ากันหลายเท่า  ดูแต่พระพุทธองค์และพระอริยสาวก ได้เปลี่ยนภาวะจากปุถุชนมาเป็นพระอริยบุคคล จนเป็นที่กราบไหว้ของคนทั่วไปและทุกท่านยังได้ทำประโยชน์อย่างกว้างขวางเหลือประมาณที่เราๆ จะกำหนดได้  ก็เพราะพระองค์และสาวกได้ผ่านการฝึกจิตมาด้วยดีแล้วทั้งนั้น

        จิตที่เราฝึกดีแล้วย่อมเป็นประโยชน์แก่การประกอบอาชีพทุกอย่าง ยังเป็นทางให้รู้จักทำงานด้วยความรอบคอบ ไม่เป็นคนหุนหันพลันแล่น ทำให้ตนเอง       มีเหตุผล  และได้รับความสุขตามสมควรแก่ฐานะ

 

การฝึกอานาปานสติภาวนา

          การฝึกจิตมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่วิธีที่เห็นว่ามีประโยชน์และเหมาะสมที่สุด ใช้ได้กับบุคคลทั่วไป วิธีนั้นเรียกว่า อานาปานสติภาวนา คือ มีสติจับอยู่ที่        ลมหายใจเข้าและหายใจออก ที่สำนักนี้ให้กำหนดลมที่ปลายจมูกโดยภาวนาว่า   พุทโธ ในเวลาเดินจงกรม และนั่งสมาธิ ก็ภาวนาบทนี้ จะใช้บทอื่น หรือจะกำหนดเพียงการเข้าออกของลมก็ได้  แล้วแต่สะดวก ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าพยายามกำหนด   ลมเข้า-ออกให้ทันเท่านั้น การเจริญภาวนาบทนี้จะต้องทำติดต่อกันไปเรื่อยๆ จึงจะได้ผล ไม่ใช่ว่าทำครั้งหนึ่งแล้วหยุดไปตั้งอาทิตย์สองอาทิตย์ หรือตั้งเดือนจึงทำอีก อย่างนี้ไม่ได้ผล พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า ภาวิตา พหุลีกตา. อบรมกระทำให้มาก คือทำบ่อยๆ ติดต่อกันไป

 

ใช้สติกำหนดลมหายใจเพียงอย่างเดียว

        การฝึกจิตใหม่ๆ เพื่อให้ได้ผล ควรเลือกหาที่สงบ ไม่มีคนพลุกพล่าน เช่น ในสวนหลังบ้าน หรือต้นไม้ที่มีร่มเงาดีๆ ญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาจะอยู่ที่ใดก็ตาม    ใช้สติกำหนดลมหายใจอย่างเดียว แม้จิตใจจะคิดไปเรื่องอื่น ก็พยายามดึงกลับมาทิ้งเรื่องอื่นๆทั้งหมด โดยไม่พยายามคิดถึงมัน รู้ให้ทันกับความคิดนั้นๆ เมื่อทำเข้าบ่อยๆ จิตจะสงบลงเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบตั้งมั่นแล้ว ถอยจิตนั้นมาพิจารณาร่างกาย ร่างกายคือขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เห็นเป็นของ ไม่เที่ยง- เป็นทุกข์-หาตัวตนไม่ได้ มีแต่ธรรมชาติไหลไปตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น สิ่งทั้งปวงตกอยู่ในลักษณะที่เป็นอนิจจัง- ทุกขัง - อนัตตา ทั้งนั้น ความยึดมั่นต่างๆ จะน้อยลงๆ  เพราะเรารู้เท่าทันมัน เรียกว่า  เกิดปัญญาขึ้น

 

ปัญญาเกิดเมื่อจิตดีแล้ว

        เมื่อเราใช้จิตที่ฝึกดีแล้วพิจารณารูปนามอยู่อย่างนี้ ให้รู้แจ้งแน่ชัดว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ปัญญารู้เท่าทันสภาพความเป็นจริงของสังขารที่เกิด เป็นเหตุให้เราไม่ยึดถือหรือหลงใหล เมื่อเราได้อะไรมาก็มีสติ ไม่ดีใจจนเกินไป เมื่อของสูญหายไป ก็ไม่เสียใจจนเกิดทุกขเวทนา เพราะรู้เท่าทัน เมื่อประสบความเจ็บไข้หรือได้รับทุกข์อื่นๆ ก็มีการยับยั้งใจ เพราะอาศัยจิตที่ฝึกมาดีแล้ว เรียกว่ามีที่พึ่งทางใจเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าเกิดปัญญารู้ทันตามความเป็นจริง ที่จะเกิดปัญญาเพราะมีสมาธิ สมาธิจะเกิดเพราะมีศีล มันเกี่ยวโยงกันอยู่อย่างนี้ ไม่อาจแยกออกจากกันไปได้

 

ลมหายใจ  กับ  ศีล - สมาธิ - ปัญญา

        อาการบังคับตัวเองให้กำหนดลมหายใจ ข้อนี้เป็นศีล การกำหนดลมหายใจได้และติดต่อกันไปจนจิตสงบ ข้อนี้เรียกว่าสมาธิ การพิจารณากำหนดรู้ลมหายใจว่าไม่เที่ยง ทนได้ยากมิใช่ตัวตน แล้วรู้การปล่อยวาง ข้อนี้เรียกว่า ปัญญา การทำอานาปานสติภาวนา จึงกล่าวได้ว่าเป็นการบำเพ็ญทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ไปพร้อมกัน และเมื่อทำศีล สมาธิ ปัญญา ให้ครบ ก็ชื่อว่าได้เดินทางตามมรรคมีองค์แปด         ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทางสายเอกประเสริฐกว่าทางทั้งหมด เพราะจะเป็นการเดินทางเข้าถึงพระนิพพานเมื่อเราทำตามที่กล่าวมานี้ ชื่อว่าเป็นการเข้าถึง      พุทธธรรม  อย่างถูกต้องที่สุด

 

ผลจากการปฏิบัติสมาธิภาวนา

        เมื่อญาติโยมทั้งหลายปฏิบัติตามที่อาตมากล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น ย่อมมีผลปรากฏตามระดับจิตของผู้ปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งแบ่งเป็น 3 พวก ดังต่อไปนี้

        สำหรับสามัญชนผู้ปฏิบัติตาม ย่อมทำให้เกิดความเชื่อในคุณพระรัตนตรัย ถือเอาเป็นที่พึ่งได้ ทั้งเชื่อตามผลกรรมว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว จะทำให้ผู้นั้นมีความสุขความเจริญยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนได้กินขนมที่มีรสหวาน

          สำหรับพระอริยบุคคลชั้นต่ำ ย่อมมีความเชื่อในคุณพระรัตนตรัยแน่นแฟ้น ไม่เสื่อมคลาย เป็นผู้มีจิตใจผ่องใส ดิ่งสู่นิพพานเปรียบเหมือนคนได้กินของหวาน ซึ่งมีทั้งรสหวานและมัน

          สำหรับท่านผู้ได้บรรลุอรหัตตผล ย่อมมีความหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ทั้งปวง เพราะเป็นพุทธะแล้ว พ้นจากโลก อยู่จบพรหมจรรย์เปรียบเหมือนได้กินของหวาน ที่มีทั้งรสหวาน มัน และหอม

 

จงรีบสร้างบารมีด้วยการทำดี

          ญาติโยมทั้งหลายได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา  ถือว่าเป็นโอกาสอันงาม  เพราะเป็นการยากแท้ที่สัตว์ทั้งหลายล้านตัวไม่มีโอกาสอย่างญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาทั้งหลาย   อาตมาภาพจึงข้อให้ทุกท่านจงอย่าประมาท รีบสร้างหรือบำเพ็ญบารมีให้แก่ตนเองด้วยการทำดี ทั้งชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นสูง อย่าปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าปราศจากประโยชน์เลย

          ฉะนั้น  ญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาทุกท่าน จึงควรจะทำตนให้เข้าถึงพุทธธรรมเสียตั้งแต่วันนี้  เหมือนกับที่ญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาทุกท่านได้บำเพ็ญหรือประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่วันเข้าพรรษา  จนถึงขณะนี้  ก็นับว่าญาติโยมอุบาสก- อุบาสิกาทุกท่านนั้นได้ประพฤติและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสั่งสอนแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และครู-อาจารย์ทั้งหลายที่ได้สั่งสอนไว้  สมตามที่อาตมภาพได้ยกเป็นภาษิตนำไว้ ณ เบื้องต้นนั้นว่า  สติกำหนดลมหายใจเข้าออก  อันผู้ใดไม่อบรมให้บริบูรณ์ ทั้งกายทั้งจิตของผู้นั้นก็หวั่นไหว  การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน  คือการกำหนดจิตโดยการเอาสติมากำหนดที่ลมหายใจเข้า-ออก  เพื่อให้จิตนั้นนิ่ง  หรือที่เรา-ท่านทั้งหลายมักเรียกกันว่า จิตเป็นสมาธิ  จะเป็นอานาปานสติภาวนาตามที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นก็ตาม  หรืออื่นๆ ก็ตาม จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติก็เพื่อความสงบของกายและจิตของผู้ปฏิบัติ  การที่จะทำให้กายและจิตสงบเป็นสมาธิได้นั้น  ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายก็ต้องหมั่นฝึกฝนอบรมอย่างสม่ำเสมอ      ทั้งกายและจิตของผู้ปฏิบัติก็จะเป็นสมาธิเพิ่มขึ้นได้เป็นลำดับๆ  

          อาตมภาพก็ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกา  ผู้เข้าร่วมประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมในช่วงไตรมาสพรรษานี้ ทุกๆ ท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย

 

          ในท้ายที่สุดแห่งการแสดงพระธรรมเทศนาในวันนี้  อาตมภาพก็ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย  คือคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม  และคุณพระอริยสงฆ์   ทั้งปวง  ตลอดจนอำนาจแห่งการประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมอันจักพึงมีของญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาทุกท่าน  จงนำพรให้ญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาทุกท่านจงบรรลุมรรค – ผลแห่งธรรม  ตามที่ญาติโยมทุกคนทุกท่านปรารถนา  และจงประสบไปด้วยอายุ  วรรณะ  สุขะ  พละ  ปฏิภาณ  ธนสาร  ธรรมสารสมบัติ  ตลอดกาลทุกเมื่อ  เทอญ...ฯ

 

          เทสนาวสาเน  ในอวสานกาลเป็นที่สุดขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลง คงไว้แต่เพียงเท่านี้

เอวํ   ก็มี ด้วยประการฉะนี้..ฯ

 

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ธรรมะ
หมายเลขบันทึก: 312727เขียนเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2009 15:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 พฤษภาคม 2012 15:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท