ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ศาสดาองค์ใหม่ในทรรศนะข้าพเจ้า


สุดท้ายของปลายทางแล้ว ทุกศาสนาสอนให้ไปสู่ความจริง นิจนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าหรือนิพพาน ซึ่งก็คืออันเดียวกันนั่นเอง

หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง “เปิดความคิด ชีวิตอัจฉริยะ” ซึ่งเป็นหนังสือ เล่มล่าสุดของ ดร. อาจอง  ชุมสาย ณ อยุธยา จบลง ผมคิดว่า ท่าน ดร. อาจอง นี้แหละคือคำตอบสุดท้ายในบรรดาของศาสนาสากลของโลกทั้งปวง ในทรรศนะของผม ผมคิดว่าผมขอยกให้ท่านเป็นศาสดาองค์ใหม่ของโลกเลยทีเดียว

 

ทำไมผมจึงคิดเช่นนั้น?  เพราะว่าท่านเป็นอัจฉริยะทั้งด้านทางโลกและทางธรรม ท่านสามารถบูรณาการบรรสานองค์ความรู้ในเรื่องของศาสนาและวิทยาศาสตร์ให้เป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างแนบเนียน ดังจะเห็นจากตัวอย่างที่คนทั่วไปน่าจะรู้จักท่านดีจากโฆษณาเหล้ายี่ห้อหนึ่งว่า ท่านเป็นคนแรกที่คิดค้นการจอดยานไวกิ้งลงบนดาวอังคารได้สำเร็จ ซึ่งจากข้อมูลในหนังสือ “อัจฉริยะบนทางสีขาว” ท่านบอกไว้ว่า ท่านค้นพบวิธีการนี้ได้ด้วยการทำสมาธิ เป็นญาณทัศนะ (Intuition) ที่ผุดขึ้นมาเอง โดยที่ไม่ได้อาศัยความรู้ทางโลก ดังคำกล่าวของท่านหลวงปู่ดุลย์ ศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวงปู่มั่นได้กล่าวไว้ว่า “ผู้รู้ไม่คิด ผู้คิดไม่รู้ แต่ไม่คิดก็ไม่รู้” นักวิทยาศาสตร์หลายๆ ท่านก็ค้นพบทฤษฎีต่างๆ จากญาณทัศนะ (Intuition) ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นอาร์คิมิดีส  ที่ค้นพบกฎการแทนที่น้ำระหว่างที่นั่งแช่อ่างอาบน้ำ หรือ การค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ(Relativism).ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

 

 

ดร. อาจอง  ท่านได้อธิบายหลักศาสนาด้วยแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างลึกซึ้งและเข้าใจง่าย ซึ่งความจริงแล้วผมคิดว่าวิทยาศาสตร์คือส่วนหนึ่งของศาสนาเท่านั้นเอง วิทยาศาสตร์เชื่อในสิ่งที่เห็น มีอยู่จริงและพิสูจน์ได้ สิ่งที่พิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์จะไม่ยอมเชื่อกัน แต่สิ่งที่มีอยู่จริงแต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทำไมวิทยาศาสตร์ไม่ยอมเชื่อ ผมขอยกตัวอย่างจากท่านปราชญ์ผู้รู้ในวงการศาสนาท่านได้กล่าวไว้ว่า ถ้าสิ่งที่มีอยู่จริงแต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้แล้ววิทยาศาสตร์ไม่ยอมเชื่อแสดงว่าทวดของปู่ของผู้ที่มีความเชื่อทางวิทยาศาสตร์นั้นว่าไม่มีมีอยู่จริงเพราะไม่สามารถนำมาพิสูจน์ได้ ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริง เพราะถ้าไม่มีแล้วเขาเกิดมาได้อย่างไร ถึงแม้จะเกิดจาการโคลนนิ่งก็ตาม อย่างไรเสียก็ต้องมี DNA ต้นทางเป็นตัวกำเนิดอยู่ดี  และจะเห็นได้ว่าองค์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ จะโน้มเอียงไปทางศาสนามากขึ้น เช่น ทฤษฎีไร้ระเบียบ (Chaos Theory) เป็นต้น

 

 

สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อและศัทธาในความคิดของท่านดร. อาจอง มากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องการแสวงหาความจริง  ในหนังสือ “เปิดความคิด ชีวิตอัจฉริยะ” ของท่านได้อธิบายไว้อย่างแจ่มแจ้งว่าความจริงคืออะไร  ความจริงสุดท้ายคือ ความไม่มีอะไร ไม่สุข ไม่ทุกข์ นั่นคือ นิพพานนั่นเอง สุดท้ายแล้วคนเราต้องกลับไปสู่จุดสุดท้ายหรือจุดกำเนิดของทั้งหมด ท่านดร. อาจอง ท่านได้อธิบายจุดกำเนิดและจุดสิ้นสุดของมนุษยชาติและทั้งสิ่งทั้งปวงของจักรวาล ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ว่า จักรวาลเกิดจากการไม่มีอะไรแล้วจู่ๆ ก็เกิดการระเบิดที่เรียกว่า “บิกแบง” (Big Bang) ทำให้เกิดมีภพ ทางช้างเผือกมีดวงดาวต่างๆ ขึ้นมา จากนั้นจึงเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมา สิ่งมีชีวิตก็พัฒนาจากพืช สัตว์เซลเดียวจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความฉลาด มีความคิด มีรูปร่าง (มนุษย์) และสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็ใช้ชีวิตเพื่อการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ด้วยความไม่รู้ต่างๆ จนเกิดภพเกิดชาติไม่รู้จบ แต่อีกไม่กี่ล้านปีโลกเราก็ต้องถึงกาลปาวสาน เนื่องจากแรงดึงดูดของจักรวาลมากขึ้นทำให้โลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น ดวงดาวแต่ละดวงก็จะดึงดูดกัน และก็จะถูกหลุมดำกลืนไปจนหมด และหลุมดำ (Black Hole) ก็จะถูกดูดกลืนกับเองไปจนหมดสิ้น จนกลับไปสู่สภาวะเดิมคือไม่มีอะไร จากนั้น เมื่อมีการระเบิดที่เรียกว่า “บิกแบง” (Big Bang) ก็จะเกิดเป็นวัฏจักรอย่างนี้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

 

บทสรุปของท่าน ดร. อาจอง ท่านได้กล่าวไว้ว่า สุดท้ายแล้วคือความจริง ความจริงคือไม่มีอะไร ไม่สุข ไม่ทุกข์ คือ นิพพาน ขอให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข ไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่นซึ่งกันและกัน สำหรับศาสนาที่นับถือพระเจ้าท่านได้กล่าวว่าสุดท้ายคนเราต้องกลับไปสู่พระเจ้าชั่วนิจนิรันดร์ ผมเห็นด้วยว่าพระเจ้าคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สิ่งที่เป็นความจริงที่สุด ซึ่งคนโบราณอาจจะเปรียบพระเจ้าเหมือนกับคนเรา คือ มีตัว มีตน แต่ผมคิดว่าพระเจ้าน่าจะยิ่งใหญ่กว่านั้น แต่คนสอนไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไรให้คนเข้าใจ จึงเอามาเปรียบเทียบกับความมีตัว มีตนของเรา สุดท้านแล้วเราต้องกลับไปหาพระเจ้าชั่วนิจนิรันดร์

 

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ผมจึงสรุปได้ว่าไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดในโลก สุดท้ายของปลายทางแล้ว ทุกศาสนาสอนให้ไปสู่ความจริง นิจนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าหรือนิพพาน ซึ่งก็คืออันเดียวกันนั่นเอง คำว่าศาสดาองค์ใหม่แห่งความเป็นสากลของศาสนาในโลกเห็นจะไม่เกินเลยไปสำหรับ ดร. อาจอง  ชุมสาย ณ อยุธยา คนนี้

 

ภาพและข้อมูลบางส่วนจาก และ http://www.suan-spirit.com/products_book_more.asp?prod_type=book&code=P-SM-0068 , http://www.freemindbook.com/menu2_bk_genius.html และ http://www.freemindbook.com/menu2_bk001.htm

หมายเลขบันทึก: 311865เขียนเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2009 14:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
  • ชื่นชมท่านเช่นเดียวกันค่ะ ไม่เคยเบื่อในสิ่งที่ท่านพูดเลยเพราะจะได้ข้อคิดดีๆจากท่านเสมอ

ศาสาตร์ ของ ดร. อาจอง เยี่ยมากเลยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ไปงานจิบน้ำชาหรือป่าวค่ะ

ขอบคุณ คุณ P berger0123 ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนครับ ผมไม่เคยได้มีโอกาสไปงานงานจิบน้ำชาเลยครับ เวลาส่วนใหญ่ติดภาระของครอบครัว 

เห็นด้วยที่ว่าท่าน ดร.อาจอง เป็นผู้มีความรู้ความสามารถและมีคุณธรรม ในจิตใจ ซึ่งหาได้ยากจากคนในสมัยนี้ แต่คิดว่าท่านคงไม่ดีใจเท่าไหร่ที่คุณยกย่องให้ท่านเป็นศาสดา เพราะท่านไม่ได้สถาปนาศาสนาใดๆ ขึ้นมา ..ท่านมองว่าตนเองผู้พุทธศาสนิกชนคนหนึ่งที่ปฏิบัติตามแนวทางองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ตรัสรู้ชอบแล้ว ... ส่วนการหยั่งรู้ที่เกิดกับท่านนั้น แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ยากสำหรับบุคคลทั่วไป ที่ไม่ได้ลิ้มรสของการปฏิบัติ ..หากคุณเห็นว่า ดร.อาจอง เป็นต้นแบบแล้ว ก็แนะนำให้ลองปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านได้กระทำด้วย คือลองนั่งวิปัสนาดู อย่างที่ท่าน ดร.อาจอง ได้ปฏิบัติเป็นประจำ บางทีตัวคุณเองอาจพบว่าตนเอง ก็สามารถเข้าถึงญาณทัศนะหรือการหยั่งรู้ได้เช่นเดียวกัน

ท่าน ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เป็นคนเก่งในทางโลกและทางธรรม ชอบมากค่ะ เพราะได้อ่านหนังสือของท่านแล้ว ชอบท่านมาก เก่งมากค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท