จำไว้ ๆ "นรก" ร้อนกว่านี้...!


จากการที่ต้องทุ่มเทเวลา ชีวิต และจิตใจเพื่อเตรียม "สนามบิน" แห่งใหม่ให้พร้อมที่จะรับได้ซึ่งการบินเที่ยวสุดท้ายของชีวิต...

กว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่ได้ทราบว่า "โยมแม่" ของลูกศิษย์ท่านหนึ่งได้ลาละสังขารจากโลกมนุษย์แห่งนี้ไป กำหนดการณ์ซึ่งมีกำหนดและมีไว้ในวันที่ ๒ พฤศจิกายน จึงทำให้เราต้องตระเตรียม "บ้านหลังสุดท้าย" เพื่อให้กลายเป็น "บ้าน" ที่แท้จริง...

 

งานเก็บและปรับภูมิทัศน์ ซึ่งเป็นงานที่ "ประดิบ ประดอย" ซึ่งแผนงานที่วางไว้ ๓๐ วัน กับเวลาจริงที่เหลืออยู่ประมาณ ๗ วัน ทำให้เรานั้นต้องอุทิศ "ลมหายใจ" ที่เหลือ ที่มี ไว้ที่ "เมรุฯ..."

ถึงแม้นว่า "บ้านหลังสุดท้าย" นี้จะไม่สมบูรณ์หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่งานเมื่อวานนี้ก็ผ่านลุล่วงไปได้พร้อมกับร่างกายที่ "สลบ ไสล" แต่หัวใจก็ยังคง "สู้" อยู่เหมือนเดิม

วันนี้ช่วงบ่าย หลังจากที่สั่งการณ์ สั่งงาน "ช่าง" เป็นอันที่เรียบร้อย ลงตัวแล้ว ก็ต้องแปลงร่างจาก "กรรมกร" เมื่อสัปดาห์ก่อน แปลงร่าง "โฟร์แมน" เมื่อช่วงสาย แล้วต้องกลับลายมาเป็น "สัปเหร่อ" โดยทันที

ครั้งนี้เป็นงานที่สองแล้ว ที่บ้านหลังสุดท้ายนี้ถูกใช้งาน แต่คราวนี้เราไม่มี "มิตร" ผู้ "ใจดี" คือ ใบไม้ร้องเพลง นี้ มาช่วยงาน...

งานครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนนิดหน่อย ก็คือ ครั้งก่อนเราทิ้งเตาไว้นานมาก (หลายสัปดาห์) ก่อนที่ ใบไม้ร้องเพลง จะเข้าไปเก็บและกวาดสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในเตานั้น ชมรมนักปั่นสัญจรครั้งที่ ๓ : โง่อย่างเดียวไม่พอต้อง “บ้า” ด้วย... 

แต่คราวนี้ เตาเพิ่งถูกใช้งานไปประมาณ ๒๔ ชั่วโมง ซึ่งความร้อน ระอุ จาก "อิฐทนไฟ" ที่คลายความร้อนออกมานั้น ทำให้เวลาที่ก้าวเข้าไปทำงานภายในจะหยุดอยู่นิ่งนาน ๆ ไม่ได้เพราะ "เท้าจะพอง..."

อุณหภูมิอากาศภายในเตาคงเหลืออยู่ประมาณ ๔๖ องศาเซลเซียส (ในห้องเผาศพ) และในห้องเผาควันอยู่ที่ประมาณ ๓๗ องศาเซลเซียส ซึ่งนั่นหมายความว่า ตัวอิฐที่ยังสะสมความร้อนจากการเผาศพและกำลังคลายออกมา ถึงแม้นว่าจะผ่านมากว่า ๒๔ ชั่วโมงแล้ว อิฐที่เราเหยีบลงไปย่อมมีความร้อนสูงกว่าความร้อนในอากาศมากทีเดียว...

แม้นว่าวันนี้อากาศจะเริ่มเย็น เพราะตั้งแต่เมื่อคืนมีลมพัดที่พัดมาแรง ๆ จะทำให้ความเย็นพัดเข้า พัดออกจากหลังเตาไปหน้าเตาได้ แต่ทว่า อุณหภูมิจากอิฐที่คลายก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความร้อนของ "เปลวไฟ..."

ตอนเก็บกวาดกระดูกไปเราก็คิดในใจแล้วบอกกับตนเองว่า "นรกร้อนกว่านี้นะ" อื่ม!!! จำไว้ จำไว้...

นี่แหละหนอที่ท่านกล่าวไว้ว่าการได้ทำงานเกี่ยวกับศพเกี่ยวกับ "เมรุฯ" นี้เป็น "บุญใหญ่"

เป็นบุญใหญ่ก็ไม่ใช่เพราะว่าเทพยดาฟ้าดินหรือเทวดาองค์ใดจะบันดาลอะไรต่ออะไรให้เราหรอกนะ

แต่เป็นบุญใหญ่ก็เพราะว่า กายาที่เป็นที่พึ่งแห่งดวงจิตใจอัตภาพนี้จะนำพามาซึ่ง "มหาสติ" อันได้แก่ "มรณานุสสติ" ย้ำเตือนให้รู้ถึงคำว่า "ความไม่ประมาท"

การกระทำใด ๆ ไม่ว่าจะโดยกาย วาจา หรือใจ ถ้าสุ่มเสี่ยงหรือมีแนวโน้มที่จะออกนอกศีล นอกธรรมไป เราก็จะเตือนตนเองไว้เสมอว่า "นรกร้อนกว่านี้..."

หมายเลขบันทึก: 310683เขียนเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2009 18:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีค่ะคุณสุญฺญตา

แวะมาเยี่ยมชมค่ะ

ขอบคุณสำหรับแง่คิดดีๆ นะคะ

ขอชื่นชมในการเจริญไตรลักษณ์ครั้งนี้ค่ะ...คิดถึงเมื่อคราวที่ยืนอยู่หน้าศพของบุพพการี

แต่จะว่าไป... คำพูดของโบราณที่มักพูดว่า "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งนำตา" ดูเหมือนว่าจะช้าเกินไปสำหรับมนุษย์ใน "นักปรัชญาสารสนเทศ Information Phylosophy" เช่นวันนี้...

ทุกวันนี้เราเริ่ม "ไม่อยาก" จะเขียนบทความหรือบันทึกเรื่อง "ธรรมะ" เพื่อคนเดี๋ยวนี้มีสารสนเทศมาก แล้วก็ส่วนมากมักรื้อค้นและเสาะแสวงหา "ธรรมะสนเทศ" เพื่อมาเป็นฐานในเข้าข้างตัว...

คนเราเดี๋ยวนี้รู้มาก รู้หลบ รู้เลี่ยง รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง

แม้แต่เรื่องบุญ เรื่องกรรม ก็รู้มาก รู้จนสามารถเถียงกันได้จน "คอเป็นเอ็น..."

การให้คนรู้ธรรมะมาก ๆ คนฉลาด ๆ ก็มักจะเอาธรรมะไป "เข้าข้างตนเอง"

หรือแม้นแต่ตอนใกล้ตาย หรือตอนเห็นโลงศพที่มาไว้ตรงหน้าก็ยังไม่วาย สามารถแต่งเรื่องเป็นนิยาย เพื่อหลอกจิต หลอกใจตนเองได้ว่า "กรรม" ไม่มีจริง...

พูดแล้วก็เบื่อ "นักวิชาการธรรม" มีเยอะ "ธรรมะวิชาการ" ก็มีแยะ

เขียนแล้วก็เซ็ง เซ็งพวกพูดดี "ดีแต่พูด" พูดน้ำไหล ไฟธรรม ปากขยับ ธรรมะกระจาย...

คนที่รู้ธรรมะมากเดี๋ยวนี้กลายเป็นบุคคลอันตรายเพื่อชอบยกใจตนให้ใหญ่และใฝ่ "นรก" ชั้นสูง

คนในยุค "ปรัชญาสารสนเทศ (Information Phylosophy) " ก็มักเป็นเช่นนี้ ปรัชยาเยอะ

ปรัชญาชีวิตเพียบ ปรัชญาดี ๆ ทั้งนั้น แต่การกระทำกับตรงข้าม

บ่นไปบ่นมาแล้วก็ "ง่วง" กลับไป "นอนโง่" เหมือนเดิมดีกว่า

พูดมาก พล่ามมาก เดี๋ยวพวกนักปรัชญาสารสนเทศ Information Phylosophy จะมีความรู้ใหม่ ๆ ไปใช้อ้างใช้เถียงกับนักวิชาการกันเยอะ

ตอนนี้ก็เลยชักจะไม่มั่นใจแล้วสิว่า ในยุคสมัยที่อะไร ๆ ต่ออะไรไวต่อการเป็นสารสนเทศนี้ว่า "การให้ธรรมะเป็นทาน" นั้นจะสามารถเป็นคุณค่า "ทางดี" ได้เป็นเอนกอนันต์อย่างแท้จริง...?

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท