อ้อมกอดของครู ประหนึ่งผู้ให้กำเนิด
จากความชั่วของศิษย์ ที่กระทำสิ่งที่ไม่สมควรมากมาย แล้วครูเมตตาตักเตือน แต่จิตของศิษย์ก็คอยแต่ไม่พอใจ โกรธเคือง จนมองไม่เห็นเจตนาที่แท้จริงที่ครู อดทนสั่งสอนให้รู้ทันใจของตนเอง ในความโง่ความไม่รู้ของศิษย์ ทำให้รู้ไม่ทันจิตที่คิดชั่วของตนเอง สมองหลอกว่าเข้าใจ เข้าถึงแล้ว แต่ไม่ลงใจจริง ๆ ทำยังไงก็ไม่ใช่ใจ ความทุกข์หนักอึ้งลงมาที่ใจ เมื่อครูบอกว่า
“เราหน่ะเกลียดแม่ตนเอง แล้วรักพ่อ โกรธแค้นแม่ จึงมาใช้พี่เป็นเหยื่อ”
คำ ๆ นี้สะเทือนใจแต่ก็ถูกบล็อกด้วยหัวใจที่ปิดกั้นอย่างไม่รู้ตัว จนครูออกแรงกระแทกเข้าไปในจิตใจ หนูมารู้สึกซาบซึ้งเข้าไปตอนเห็นว่า ที่ครูมาที่นี่ มาเตรียมงานอาจจะเป็นเพราะครูเป็นลูกสาวท่าน ความรู้สึกดีปีติก็ปรากฏขึ้นในใจน้ำตาคลอ คำสอนต่าง ๆ พรั่งพรูออกมาจากความเมตตาของครูมากมาย ที่สะเทือนลงไปในใจ ว่าจิตของศิษย์มันคิดไม่ดี แรงบีบคั้นมากมายที่อยู่ภายใน สร้างความทุกข์ทรมาร ได้แต่ก้มหน้าร้องไห้กับความคิดชั่ว ๆ การกระทำที่เห็นแก่ตัวของตนเองที่ทำมาตลอด ทั้งพ่อ แม่ พี่น้อง อาจารย์ เพื่อน คนรอบข้างต้องมารองรับอารมณ์ ใจที่เต็มไปด้วยราคะตัณหา เห็นเพศตรงข้ามเป็นไม่ได้คอยแต่คิดว่าเขาจะมาชอบมารัก เห็นความชั่วในใจของตัวเองแล้วรู้สึกรับไม่ได้ ร้องไห้ออกมาเหมือนเขื่อนทะลัก
ก้มลงกราบครูด้วยความรู้สึกผิด จิตใจบอบช้ำกับความชั่วในใจของตนเองที่คิดไม่ดีกับแม่ และทำไม่ดีกลับพี่ชาย คำแนะนำของครูที่บอกว่า
“บวชซะ บวชพร้อมพี่ชายเรานี่แหละ บวชที่จิตที่ใจ ให้มีศีล เราเป็นผู้หญิง ธรรมชาติกำหนดมาให้อดทนมากกว่าผู้ชาย อยู่แล้ว พี่รู้ว่ามันยาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็บอกว่ายากแต่ท่านก็ยังเมตตาให้มีภิกษุณีในที่สุด แม้ว่าเราจะเป็นฆารวาสแต่เราก็ภาวนาได้ ภาวนากับสิ่งที่เป็นนี่แหละ ร่างกายนี้มันจะเป็นยังไงก็ช่างมัน”
ยิ่งฟังคำสอนครูยิ่งร้องไห้ สำนึกในความผิดที่เคยทำไม่ดีมา พอครูบอกว่า
“มา ๆ พี่ขอกอดหน่อย” เท่านั้นแหละ ณ นาที นั้นรู้เพียงว่า
“หนูเจ็บปวดหนูไม่มีใครแล้ว หนูมันเลว” ไม่มีอะไรจะเปรียบ โกรธแค้นได้แม้กระทั่ง แม่ผู้ให้กำเนิดตนเอง ความชั่วจากภายในมันบีบมันเค้นหาทางออกไม่ได้ ครูอ้าแขนมากอด ใช้มือลูบหัวเด็กที่อยู่ในอ้อมแขน ลูบหลังปลอบใจหนูสะอื้นร่ำไห้กับความชั่วของตนเอง อ้อมแขนของครูช่างอบอุ่นนักมีคุณค่ามาก ๆ ในความรู้สึกของคนที่เสพความทุกข์ทรมาร และดิ้นรนอยู่ภายใน แล้วท่านก็เอ่ยว่า
“ร้องไห้ซะ ร้องซะไห้พอ แล้วต่อไปไม่ต้องร้องอีก” หนูเหมือนน้ำตาทะลักออกมาได้
เหมือนเจอคนที่เข้าใจ รู้สึกรักท่านมาก ๆ รักประหนึ่งแม่ผู้ให้ชีวิต ท่านเหมือนแม่ในโลกของจิตใจ
พอครูคลายอ้อมแขน หนูก้มลงกราบตักครู ท่านเอื้อมมือมาลูบหัว ตอนนั้นเหมือนมีน้ำอุ่นมาชะโลมใจให้หายเหน็บหนาว แล้วท่านบอกว่า
“ตั้งใจนะ ไม่ใช่ เราไม่ก้าวหน้า แต่เราเจอโจทย์ที่ยากขึ้น พี่บอกแล้วใช่ไหม เส้นทางนี้จะยากขึ้นเรื่อย ๆ เราอดทนมาดีแล้ว ต้องอดทนอีก อดทนก็เป็นอธิษฐานบารมี แล้วก็สั่งสม ส่วนอื่น ๆ ที่ยังขาด ถ้าเรามีสติเราจะรู้ว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นพี่เตือนเราก่อนเสมอ แม้กระทั่งเรื่องที่เราจะไม่เคารพพี่ แต่เราก็ไม่ได้ยิน”
“ค่ะ”
หนูรับฟังครูทั้งน้ำตา “อะพอละหยุดร้องไห้” หนูบอกตนเองว่าต้องเชื่อฟังครูทุกอย่างชีวิตใหม่นี้ท่านเป็นคนให้มา ต้องเชื่อฟังท่าน หนูสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กลั้นน้ำตาจนร่างกายสั่นเครือ หายใจลึก ๆ สองสามที น้ำตาก็หยุดไหล ครูจึงบอกว่า “ไปล้างหน้าล้างตา”
เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นกำลังใจที่ดี เมื่อไหร่ที่หนูรู้สึกท้อแท้ หรือทรมารกับความทุกข์ในใจ หนูก็จะมีภาพนี้ปรากฏขึ้นมาหล่อเลี้ยงใจที่อ่อนล้า อ่อนแรง กราบขอบพระคุณคุณครูมากค่ะ หากชีวิตนี้ไม่เจอครูไม่ได้รับโอกาสในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากครู หนูก็คงไม่ต่างจากสัตว์อื่น ๆ วัน ๆ จิตใจ วิ่งขึ้นวิ่งลง คอยแต่ให้กิเลสครอบหัว จูงจมูก หนูจะตั้งใจ อดทนค่ะ สั่งสม ศรัทธาและสติ ให้ถึงพร้อม ถ้าเหนื่อยถ้าท้อจะคิดถึงคำสอนของครู กราบขอบพระคุณค่ะ
สวัสดีครับ
รบกวนอาจารย์...กรุณาบอกที่อยู่ให้ผมหน่อยนะครับ
ผมจะส่งวารสาร และหนังสือของผมไปหาครับ
เมลล์มาที่นี้ก็ได้ครับ
ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
ผมขอรบกวนอาจารย์อีกนะครับ
ด้วยความคิดถึงและความเคารพครับ