ก่อนที่เราจะเริ่มกระบวนการฟื้นฟูสีธรรมชาติ มีสิ่งหนึ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้เพิ่มเติมก็คือเรื่องของเส้นไหม เพราะเมื่อเราจะหาเส้นไหมมาย้อมสีธรรมชาติกัน พี่บุญเลียนถามว่าเราจะใช้ไหมอะไรดี และอธิบายให้ฟังว่าช่างทอแพรวาที่บ้านโพนส่วนใหญ่ใช้ไหมดีเคเส้นสีขาว เพราะราคาถูกกว่าไหมไทยเส้นสีเหลือง เนื่องจากช่างทอส่วนใหญ่ต้องลงทุนวัสดุการทอเองทั้งหมด การลดราคาเส้นไหมลงก็ช่วยให้ลดต้นทุนลงด้วย ไหมดีเคหรือไหมเวียดนามราคาอยู่ที่กิโลละ 900 กว่าบาท ในขณะที่ไหมไทยราคากิโลละราว 1200 - 1450 บาทตามคุณภาพ
ไหมพื้นบ้านของไทยมีรังและเส้นใยสีเหลือง
อันที่จริงดิฉันพอจะมีความรู้อยู่บ้างว่าไหมไทยพื้นบ้านนั้นมีสีเหลืองและมีความมันวาวที่เลื่องชื่อ แต่ก็มีข้อจำกัด คือ ความยาวของเส้นใยต่อรังน้อย จึงต้องมีการพัฒนาพันธุ์ลูกผสมขึ้นเพื่อช่วยรักษาคุณสมบัติดี ๆของไหมไทยพื้นบ้านไว้แต่ให้มีความยาวของเส้นไหมต่อรังสูงขึ้น และการพัฒนาไหมของไทยก็มีมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ จากความช่วยเหลือของญี่ปุ่น แต่ดิฉันก็ไม่เคยทราบข้อมูลในพื้นที่ที่เป็นปัจจุบันนัก ดังนั้นเพื่อเป็นการเรียนรู้ถึงความแตกต่างของไหมและผลลัพท์ที่ได้จากการย้อม ดิฉันจึงตัดสินใจใช้ไหมทั้ง 2 ชนิด คือไหมดีเค และไหมไทยที่พัฒนาพันธุ์แล้วที่เรียกว่า ไหมทอง และภายหลังต่อมาเราก็ได้ทดลองใช้ไหมอื่น ๆ เช่น ไหมของจุนไหมไทยผู้ผลิตเส้นไหมรายใหญ่ของประเทศ และไหมสาวมือของบ้านสร้างค้อ จ.สกลนคร แหล่งผลิตไหมสาวมือสำคัญของภาคอีสาน เป็นต้น
เส้นไหมสีขาวและเหลืองของจุนไหมไทย
การเรียนรู้ของเราจึงไม่ใช่เพียงเรื่องสีย้อมธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังได้เรียนรู้เรื่องของเส้นไหมไปพร้อมกัน ซึ่งจากการเรียนรู้นี้เองที่ทำให้ดิฉันเกิดความคิดว่า การพัฒนาผ้าไหมของไทยน่าจะหมายรวมถึงก็เลือกใช้ชนิดของเส้นไหมให้เหมาะกับรูปแบบของงานและเหมาะกับจุดมุ่งหมายในการแปรรูปผลิตภัณฑ์อีกด้วย