ในช่วงเวลาแห่งการสะสมสติ(ปัฏฐาน)ในชีวิตประจำวัน... ทุกครั้งของการภาวนาย่อมลึกซึ้งขึ้นทุกขณะ...
วันนี้ช่างมีเวลาประจวบเหมาะเสียนี่กระไร...ผมเอารถไปซ่อมกันชนหลัง...จึงไม่ได้ฟังซีดีหลวงพ่อปราโมทย์(ที่เปิดในรถประจำ)...และให้บังเอิญที่ไม่มีใครไปรับผมได้...โทรศัพท์ก็แบตหมด...จึงอาศัยจังหวะนี้เดินรอบเมือง เส้นทางกว่า 3 กม.... ด้วยการฉวยจังหวะภาวนาไปตลอดทาง...
สำรวจประตูอายตนะของตนเอง...สำรวจจิตเปรียบเทียบกับเทศน์ของหลวงพ่อปราโมทย์...กว่าจะมองเห็นว่า จิตรู้อารมณ์ได้เพียงหนึ่งเดียวจริง ๆ...ต้องอาศัยปัญญา(ญาณ)ที่ละเอียดมากที่สุด...จึงรู้ว่าการรู้(ของจิต)ที่ซ้อน ๆ กันอยู่นั้น...ไม่พร้อมกันจริง ๆ...และไม่มีทางที่จะให้รู้กระจ่างแจ้งพร้อมในขณะจิตเดียวกันได้เลย...
นี่ยังไม่รวมกับการแยกรู้กายกับจิตในการเดินจงกรม 3 กม. กายกับกาย... กายกับจิต...จิตกับจิต... มีช่องว่าให้มองเห็นไม่น้อยเลยจริง ๆ...
การจดจำสภาวะจิตให้แม่นยำ...โดยไม่อาศัยจินตนาการ(หมายความรวมถึงอุปทานและนิมิต) ย่อมต้องใช้ปัญญา(ญาณ)ทิ่มทะลวงชั้นในสุดถึงจิตเดิมแท้(มหากริยาจิต)...
รอบของตัวรู้...ธาตุรู้... เป็นปฏิภาคโดยตรงกับ ความแม่นยำแจ่มแจ้งในสภาวะจิต...
ผมเลยเข้าใจ(เอาเองว่า)เส้นทางรู้กระบวนจิต... เป็นดังนี้...
ธาตุรู้+จิตเดิมแท้.........รู้จิต(89 ดวง).......รู้อารมณ์(สารพัด)
ฝึกฝน ฝึกฝนและฝึกฝน
แล้วจะเท่าทันจิตอย่างงดงามขอรับอาจารย์..
สาธุด้วยครับ
เป็นเรื่องที่สมควรทำ แต่คนก็ไม่ค่อยทำ
ครับ...ท่านเบ
ผมลองทำแผนภูมินี้ดูครับ...
ยิ่งทำก็ยิ่งงง...นี่เป็นอาการจิตฟุ้งธรรมกระมัง...
เป็นการขยายคำอธิบายของผมเรื่องกระบวนการทางจิตน่ะครับ...
เมื่อวานผมลองทบทวนดู...เห็นว่าระหว่างธาตุรู้กับจิตเดิมแท้...อาจผนวกรวมได้ในขั้นสุดท้ายของการสลัดหลุด-สบั้นขาดจากกิเลสอย่างแท้จริง....
ส่วนเส้นทางที่จิตเดิมแท้ ไปรู้จิต 89 ดวงนั้น...ยังมีรอยขาดช่วงเป็นตอน ๆ ได้อีก หากธาตุรู้เห็นได้ละเอียดยิ่งขึ้น...ย่อมเห็นการเกิดดับเป็นช่วงทุกระยะจิต
อย่าว่าแต่จิตที่ไปรู้อารมณ์เลยครับ...เส้นทางรู้จะเป็นช่องว่างขาดจากกันให้ตัวรู้เห็นมากมาย...หากตัวรู้รอบจัดมากขึ้น...ถึงขั้นใกล้เต็มรอบแล้ว...