ท่านบัวทอง จัรทะมุลินทร์ เลขาธิการสำนักงานศาล และท่านคำพัน บุญพาคม ประธานผู้พิพากษาศาลการค้าเป็นวิทยากร
ศาลของสปป.ลาวนั้นจะเรียกว่า ศาลประชาชน ศาลประชานมี 3 ชั้น เหมือนประเทศไทย กล่าวคือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา (ซึ่งที่สปป.ลาวเรียกว่า ศาลประชาชนสูงสุด) ศาลชั้นต้นมีในทุกแขวง (จังหวัด) รวม 17 แขวง (จังหวัด) 1 นคร และมีอยู่ในเขตอีก 39 เขต ผู้พิพากษามาจากการคัดเลือกจากสภา จำนวนของผู้พิพากษา 300 กว่าคนทั่วประเทศ ผู้พิพากษาศาลสูงสุดมี 10 ท่าน (ไม่รวมประธานศาล รองประธานศาล)
ศาลประชาชนรับพิจารณาคดีรวมอยู่ในศาลเดียวแล้วแบ่งแยกคณะในการพิจารณาคดีเฉพาะเรื่อง เช่น คดีครอบครัว คดีพาณิชย์ และคดีเฉพาะเรื่องด้านอื่น ๆ สำหรับคดีบางคดีที่ไม่สามารถวินิจฉัยประเภทของคดีได้ประ ธานศาลแขวง (จังหวัด) หรือศาลนคร ชี้ขาดคดีว่าคดีที่เกิดขึ้นเป็นคดีประเภทใด แต่ในปัจจุบันนี้คดีความที่นำมาขึ้นศาลประชาชนยังมีจะนวนไม่มาก
สำหรับคดีพาณิชย์นั้นเป็นคดีข้อพิพาทเชิงธุรกิจ หรือสัญญาซื้อขาย กู้ยืม เช่า ส่วนคดีล้มละลาย และทรัพย์สินทางปัญญายังไม่มี
ผู้ที่สามารถนำคดีขึ้นสู่ศาลประชาชนได้ นั้นมีทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล และทุกคนมีสิทธิฟ้องคดีแพ่งได้หมด และฟ้องได้เองเลย แต่จะต่างกับคดีอาญา คือ วิอาญาลาว พิจารณาคดีลับ ราษฎรมีสิทธิฟ้องคดีอาญาแต่ต้องผ่านอัยการ ประชาชนจะฟ้องศาลคดีอาญาโดยตรงไม่ได้ ซึ่งต่างกับประเทศไทย ส่วนเรื่องสัญชาตินั้นไม่เป็นอุปสรรคในการฟ้องศาลลาว กล่าวคือ คนต่างประเทศสามารถนำคดีขึ้นสู่ศาลลาวได้ ซึ่งคนต่างชาติเมื่อมาขึ้นศาลก็ต้องใช้ล่ามที่รัฐบาลจัดให้ ซึ่งต้องน่าเชื่อถือได้ มีจริยธรรม และก็ได้มีการขึ้นศาลประชาชนสปป.ลาวของเอกชนไทยฟ้องเอกชนไทย หรือฟ้องเอกชนลาว หรือเอกชนลาวฟ้องเอกชนไทย
เขตอำนาจศาล
ในเรื่องของเขตอำนาจศาลนั้น ได้กำหนดไว้ในบัญญัติระบบศาล หรือกฎหมายว่าด้วยศาล ซึ่งก็เหมือนกับพระธรรมนูญศาลยุติธรรมของประเทศไทย และเรื่องจำนวนทุนทรัพย์ในการกำหนดเขตอำนาจศาล อีกทั้งการอุทธรณ์ ฎีกานั้นไม่มีการจำกัดจำนวนทุนทรัพย์ไว้ ซึ่งทำให้ทุกคดีแพ่งสามารถฟ้องศาลได้ และสามารถอุทธรณ์ ฎีกาได้ทุกคดี
ค่าธรรมเนียมศาล
ค่าใช้จ่ายในการนำคดีขึ้นสู้ศาลไม่สูง ค่าธรรมนียมศาลสำหรับคดีบังคับสิ้นสุดคิดเป็น 2% ของมูลค่าที่ร้องขอ
กระบวนการพิจารณาคดีของศาล
เริ่มต้นที่ศาลชั้นต้น (ศาลนครหลวงเวียงจันทน์) รับคดีความ ซึ่งระยะเวลาในการพิจารณา
มีความรวดเร็วทุกคดี โดยเฉพาะคดีพาณิชย์มีความรวดเร็วพอ ๆ กับอนุญาโตตุลาการ ซึ่งกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งปี 2004 กำหนดไม่เกิน 2 เดือน ซึ่งถ้าหากมีการอุทธรณ์ และฎีกาก็สามารถทำได้ทุกคดี เนื่องจากว่าไม่ได้มีการกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ ซึ่งคำพิพากษาศาลประชาชนสูงสุด (ศาลฎีกา) คำพิพากษาเป็นที่สุด ยกเว้นกรณีรื้อฟื้นคดี เพราะว่าปรากฏหลักฐานที่ไม่มีในสำนวนแล้วมาปรากฏภายหลัง
การประนีประนอมยอมความบนศาล
คู่กรณีสามารถตกลงกันในศาลได้
การแก้ไขข้อพิพาทในลาวด้านเศรษฐกิจ มี 2 ทางเลือก คือ
1. กระบวนการก่อนขึ้นศาล – คณะกรรมการไกล่เกลี่ยทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งดูแลโดย กระทรวงยุติธรรม หรืออนุญาโตตุลาการ ซึ่งคณะกรรมการไกล่เกลี่ยนั้นจะประกอบด้วยนักกฎหมาย หรือนักธุรกิจเฉพาะทาง ไม่ใช่นักกฎหมายตายตัว จะมีจำนวนมากกว่าองค์คณะของศาล และเป็นจำนวนคี่
2. กระบวนการในชั้นศาล – ฟ้องศาลเป็นคดีพาณิชย์
ซึ่งโดยปกติจะใช้ข้อ 1 ก่อน โดยการกำหนดไว้ในสัญญา
ถ้าคดีพาณิชย์เกี่ยวกับคดีอาญา (ฟอกเงิน) ก็ยกทางพาณิชย์
ในกรณีของการคุ้มครองคู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่าย ที่ไม่เท่าเทียมกันนั้น ศาลจะดูเอง ซึ่งเรื่องสัญญาที่คู่สัญญาไม่เท่าเทียมกันนี้ ถ้าเป็นการเอาเปรียบก็จะให้เป็นโมฆะ ส่วนคดีเรื่องของProduct Liability สินค้าที่ไม่ปลอดภัย จะเป็นเรื่องของกฎหมายอาญา
ส่วนเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมนั้น สปป.ลาวมีมาตรฐานกฎหมายแรงงานสอดคล้องกับมาตรฐาน ILO และด้านสิ่งแวดล้อมก็มีกฎหมายสิ่งแวดล้อมมาควบคุม
การบังคับคดี
ส่วนการบังคับคดีนั้นศาลจะบังคับคดีให้ตามคำพิพากษาเท่านั้น ถ้าตกลงกันได้ที่อนุญาโตตุลาการก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่ยอมกันก็มาที่ศาลชั้นต้นให้คู่ตวามปฏิบัติตามคำตัดสินอนุญาโตตุลาการ
การบังคับตามคำพิพากษาศาลต่างประเทศ
ศาลลาวให้ความสำคัญของกฎหมายลาว ซึ่งดูข้อขัดแย้งว่าเกิดที่ตรงไหน ก็ดูเขตอำนาจศาล
การรับรองคำพิพากษาศาลต่างประเทศในศาลลาวไม่ได้ ถ้าประเทศนั้นไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญา แต่ถ้าหากว่าประเทศนั้นเป็นภาคีอนุสัญญาลาวก็จะบังคับตามคำพิพากษาของศาลต่างประเทศให้ โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ และกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติเรื่องการบังคับตามคำพิพากษาศาลต่างประเทศ ผ่านกระบวนการของทูต ซึ่งสามารถบังคับได้เลย ไม่ต้องฟ้องคดีใหม่ และจากนั้นศาลก็จะดูเรื่องของเขตอำนาจศาล
และเอกชนสามารถกล่าวอ้างอนุสัญญาได้ในศาลได้ ในกรณีที่กฎหมายภายในของลาวยังไม่ได้บัญญัติรับรองไว้ ถ้าลาวเป็นภาคี และประเทศนั้นเป็นภาคีด้วย (โดยดูที่กระทรวงการต่างประเทศ)
ซึ่งคำพิพากษาของศาลประเทศไทย เวียดนาม จีนนั้นสามารถนำขึ้นมากล่าวอ้าง บังคับ และรับรองได้โดยศาลในสปป.ลาว
ความร่วมมือไทยลาวในเรื่องของกระบวนการยุติธรรม (การศาล)
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2552 ได้มีการลงนาใน MOU บันทึกความเข้าใจระหว่างศาลไทยและศาลลาว เรื่องความร่วมมือด้านวิชาการ ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งประเทศไทยก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ศาลลาวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องของข้อมูลข่าวสาร และการาพัฒนาระบบศาล อีกทั้งมีการให้ความรู้ และอบรมผู้พิพากษาผู้บริหารศาลชั้นต้นของสปป.ลาว ที่สถาบันพัฒนาข้าราชการตุลาการ (ถนนรัชดา) ซึ่งได้จัดอบรมผู้พิพากษาไปแล้ว 4 ชุด ชุดละ 2 คน
การพิจารณาเรื่องการร้องขอสัญชาติลาว
เรื่องการร้องขอสัญชาติลาวจะใช้กระบวนการทางด้านฝ่ายบริหารก่อน คือนายบ้าน ซึ่งเป็นองค์กรหนึ่งของกระทรวงป้องกันความสงบทำหน้าที่ดูแลก่อน จากนั้นก็ส่งเรื่องให้กระทรวงป้องกันความสงบเสนอสภาแห่งชาติพิจารณา
แนวโน้มของการพัฒนาศาลและกฎหมายของสปป.ลาว
ปีค.ศ. 2015 สปป.ลาวจะจัดตั้งศาลแรงงาน และศาลปกครอง (เนื่องจากว่าในตอนนี้คดีปกครองนั้นจะต้องมาฟ้องที่ศาลแพ่ง หรือไม่ก็ร้องเรียนเจ้าหน้าที่รัฐไปที่กรรมการตรวจตรา = เหมือนผู้ตรวจการแผ่นดิน) โดยยึดหลักโปร่งใส และเป็นเอกราช
ระบบกฎหมายของสปป.ลาวเป็นระบบ Civil Law สปป.ลาวพัฒนา และสร้างกฎหมายลาวจำนวน 88 ฉบับ และนิติกรรมอื่น ๆ กว่า 200 ฉบับซึ่งเป็นกฎหมายในการคุ้มครองบริหารสังคม
ลาวมีรัฐธรรมนูญฉบับแรกเมื่อปี 1991 และที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2009) รวม 18 ปีแล้ว ซึ่งมีแนวโน้มที่สปป.ลาวจะทำการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับเงื่อไนไขสังคม ซึ่งกฎหมายฉบับใดขัดต่อกฎหมายสากล (กฎหมายระหว่างประเทศ) ซึ่งกฎหมานที่จะปรับปรุงแก้ไขแน่นอนตัวอย่างเช่น กฎหมายศาล กฎหมายอากร กฎหมายภาษี (ซึ่งต่อไปจะให้บุริมสิทธิ ถ้าลงทุนในเขตที่พัฒนา ยกเว้นภาษีอากร) รัฐบัญญัติว่าด้วยการฟอกเงิน ซึ่งเป็นพระราชกำหนด (มีค่าบังคับเป็นกฎหมายเป็นกฎหมาย แต่ออกโดยฝ่ายบริหาร (รัฐบาลออกโดยประธานประเทศ) โดยไม่ได้ผ่านสภา
ลำดับชั้นของกฎหมาย
รัฐธรรมนูญ
พระราชบัญญัติ
นิติกรรม (กฎหมาย)
- รัฐบัญญัติ
- ดำรัส
- คำสั่ง
- พระราชกำหนด
- กฎระเบียบ
นิติกรรม นั้น ในสปป.ลาวหมายถึง กฎหมายลำดับรองซึ่งมีค่าบังคับเหมือนกฎหมาย และผู้ที่บังคับใช้ก็คือหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนั้น ๆ
ไม่มีความเห็น