9.ลูกพม่า
“ไอ้ลูกพม่า คนเถื่อน ไม่มีสัญชาติ” ไหลน้ำแผดเสียง
“เลิกได้แล้ว คุยกันฉันเพื่อนสิ” ฟองทะเลห้ามปรามลั่น
“เพื่อน ! เพื่อนที่ชอบขโมยของเพื่อนด้วยกัน” ไหลน้ำแดกดัน
“ขโมยอะไร ?” วาหว่าขึ้นเสียง
“ทำเป็นไขสือ” ดอกหมากถากถาง
“นั่นไงเล่า รถคันแดง นายแกล้งบังคับให้หายไป แทนที่จะเอามาคืนผมกลับเอาไปซ่อนไว้ แล้วบอกผมว่าหาไม่พบ” ไหลน้ำชี้
“ผมไม่ได้แกล้ง หาไม่เจอจริง ๆ รถคันนั้นของพี่เขยผม” วาหว่าพยายามแก้ต่าง
“อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ”
“พิสูจน์สิของใครกันแน่”
“พิสูจน์ ! ป่านนี้นายคงเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างไม่ให้เป็นของผมไปแล้ว”
“ถ้าผมทำ ผมคงทำทั้งคัน ไม่ปล่อยให้มีสภาพอย่างที่เห็นหรอก”
“ตลก ใครจะเชื่อ นี่เป็นแผนของนาย”
“ไม่เชื่อถามคนอื่นดู” วาหว่าเหลียวมองเพื่อน ๆ ส่งสายตา เอ่ยถาม “ฟอง พู่ ฟ้า เธอจะเชื่อใคร ?”
แต่ละคนหันหน้ามองตากันเลิ่กลั่ก ทั่วบริเวณเงียบกริบดั่งป่าช้า ได้ยินแต่เสียงจักจั่นเรไรร้องเซ็งแซ่
“ต้องเลือกข้างด้วยหรือ” พู่กลิ่นหลบตา เปิดปากกระอึกกระอัก
“เลือกสิต้องเลือก” ดอกหมากโพล่ง
“เราไม่รู้จะเชื่อใครดี จนกว่าจะมีการพิสูจน์ความจริง” ฟ้าครามพูดอ้อมแอ้ม
“ฟองให้คำตอบไม่ได้” ฟองทะเลหลุดปาก เบนสายตา
“ฟองแม้แต่เธอยังไม่เชื่อผม” วาหว่าตัดพ้อ ทรุดกายนั่งคุกเข่าคอตก น้ำตาปริ่ม ฟองทะเลสืบเท้าเข้าไปหาเขา
“นั่งแน่นิ่ง ไม่มีอะไรจะพูด ยอมรับความจริงโดยดุษณีภาพแล้วสินะ โธ่เอ๊ย ! ไอลูกพม่าขี้ขโมย” ไหลน้ำเยาะเย้ย
“พอกันทีไหลน้ำ หยุดพูดถึงปมด้อยของเพื่อนได้แล้ว” ฟองทะเลเหลียวหน้า ขึ้นเสียง
“ถ้าปมด้อยเป็นความจริง ผมสมควรพูด” ไหลน้ำศอกกลับ
“ทั้ง ๆ ที่ทำให้เพื่อนเจ็บช้ำน้ำใจ” ฟองทะเลสวนควัน
“ถูกต้อง ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และนี่เป็นการลงโทษสถานเบาสำหรับการขโมยของผู้อื่น ไม่เรียกตำรวจจับก็บุญแล้ว” ไหลน้ำยืนกราน
“ทำไมนายใจร้ายจัง” พู่กลิ่นพูดสะกิด
ไหลน้ำสะอึก เหลียวมองแววตาเพื่อน ๆ บางคนชิงชังขยะแขยง บางคนสบประมาท บางคนไม่เห็นด้วย บางคนเวทนาสงสาร ต่างจ้องมองมาทางเขาให้สำนึกผิดและขอโทษ แต่เขากำลังจะได้ครอบครองที่ดินนี้อยู่แล้ว เหลือเพียงคำพูดอีกนิดเดียวต้องทำให้ถึงที่สุดและเด็ดขาด เพื่อพัฒนาที่เป็นสนามเด็กเล่นในฝันของเด็ก ๆ เขาหวังว่าเมื่อทุกสิ่งเป็นไปตามความต้องการของเขาแล้ว เพื่อน ๆ คงเข้าใจและให้อภัยแก่การกระทำครั้งนี้ “ผีถึงป่าช้าแล้ว” เขาพึมพำ ตัดสินใจเชือดเฉือนด้วยคำพูดประโยคสุดท้าย เขาพูดเต็มเสียง “ไปเสียเถิดลูกพม่า ออกไปจากดินแดนแห่งนี้”
คำพม่า สองคำก็พม่า ทำไมการเป็นลูกชาวพม่าเฉกเช่นเขาไปทำร้ายใจใครให้เจ็บช้ำน้ำใจเขาเป็นลูกพม่าจริง ทว่าเป็นเฉพาะลูกสำหรับพ่อแม่เขาเท่านั้น มิได้เกี่ยวโยงกับเชื้อชาติ หรือประเทศของบรรพบุรุษเขาเลย พ่อแม่ของเขาเกิดที่ประเทศไทยเติบโตที่นี่ มิเคยเหยียบแผ่นดินของปู่ย่าตายายเลย แล้วเขาเล่าเกิดมายิ่งขาดหายจากความเป็นพม่า
เขาสงสัยว่าการมีเชื้อสายพม่าทำให้เขากลายเป็นคนพม่าหรือ ? หรือเขาเป็นคนไทย ? ถ้าเป็นคนไทย ไยเมื่อเขาบอกแม่ว่า “วาหว่าอยากเข้าโรงเรียน”
“ไม่ได้หรอก” แม่ค้าน
“ทำไมละ ? ฟ้าครามยังเข้าโรงเรียนได้เลย” เขาท้วง
“คือ...ลูกไม่มีสัญชาติไทย” แม่นิ่งงันไปชั่วขณะ พูดตะกุกตะกัก
“แต่วาหว่าเป็นคนไทย” เขาเสียงสั่น
“ไม่” แม่พึมพำในคอ
“งั้น...แม่ส่งวาหว่าไปอยู่กับตายายที่เกาะสองเรียนหนังสือที่นั้น” เขาสบสายตาเขย่าแขนแม่ “นะ...แม่นะ ถึงอย่างไรวาหว่าก็เป็นคนพม่าได้”
“ไม่ได้หรอก” แม่พูดเต็มเสียง
“อะไรของแม่เนี่ย ไอโน้นก็ไม่ได้ ไอนี่ก็ไม่ได้ เพราะอะไรละ ?” เขาหงุดหงิด
“ลูกไม่มีสัญชาติพม่า” แม่เสียงอ่อน
“อ้าว...แล้ววาหว่าเป็นใครละ ?” เขาสับสนงุนงง
“ไม่สำคัญหรอกว่าลูกเป็นใคร ลูกต้องภูมิใจว่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์” แม่ปลอบประโลม
“ใครบอกแม่ละ วาหว่าคงเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งในเมืองไทยเท่านั้น มิได้เป็นมนุษย์เช่นคนอื่น ๆ” เขาพูดเสียงเครือ สะอื้นไห้
แม่อ้ำอึ้งกอดเขาแนบอก น้ำตาคลอ
ใครจะรู้บ้างว่า ถ้อยคำพูด น้ำเสียงจากฝีปากของคนที่แสดงถึงการไม่ยอมรับเขาเป็นคนไทย ทั้ง ๆ ที่ เขามีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนคนไทยคนอื่น ๆ พูดไทยชัดเจน กินอาหารไทยทุกวัน การดูถูกเหยียดหยาม ยัดเยียดให้เขาเป็นอื่น เขาสับสนวุ่นวายใจ จึงต้องยุติเสียงเหล่านี้โดยเร็ว กว่าจะรู้สึกตัวเขาก็ใช้ความรุนแรงทุกครั้งไป
เขาเข้ามาสวนร้างวันนี้ เนื่องจากการปรากฏตัวของเทวดาสีเขียว เขาเชื่อว่าถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีจริง ไยต้องปรากฏกายตามคำอธิษฐาน เมื่อตอนมืดของสองวันก่อนด้วย เขาเข้ามาเพื่อขอพร ดลบันดาลให้เขารู้ว่า “ตนคือใคร ?”
ถ้าวันนั้นเขาไม่เข้าไปบ้านพี่เขยซึ่งเป็นช่างอิเล็กทรอนิกส์ พบเห็นรถบังคับสีแดงคันนั้นตั้งอยู่บนโต๊ะซ่อม เอ่ยปากเลียบเคียงกับพี่เขยว่า “รถบังคับคันนั้นพี่ปานซื้อมาเล่นเองหรือครับ ?”
“เปล่าหรอก”
“แล้วซื้อมาทำไมละ ?”
“พี่ต้องการดูกลไกภายในเผื่อจะมีใครมาจ้างปรับแต่งรถให้แล่นเร็วขึ้น”
“ดีจังแฮะ ว่าแต่ตอนนี้ พี่แต่งรถหรือยังครับ” เขาพูดเป็นนัย ๆ
“เรียบร้อยแล้ว ขาดแต่คนเล่น” พี่ปานแย้มพราย
“ผมขอ...” เขาเผย
“เอาสิ ดีไม่ดีอย่างไรบอกพี่ด้วยแล้วกัน”
“ครับ !”
ถ้าสองวันก่อนเขาไม่เล่นรถบังคับสีแดงของไหลน้ำ วันนี้สายตาของไหลน้ำคงไม่จ้องรถเขา ประหนึ่งว่าเขาไม่มีน้ำยาจะมีรถเป็นของตัวเอง ทำไมละการมีรถคันหนึ่งซึ่งเหมือนกับรถของไหลน้ำที่หายไป ต้องเป็นเพราะเขาขโมยมาด้วยหรือ
นี่ถ้าเขาไม่ได้ลองเล่นรถของไหลน้ำ จนติดใจยืมรถพี่เขยมาเล่นคงจะไม่เกิดการดูถูกอย่างนี้ ถ้าเป็นของเล่นของฟองทะเล ไม่มีทางที่รูปร่างจะเหมือนกัน เล่นเหมือนกัน และไม่ต้องมีใครคอยครอบครองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
วาหว่าน้ำตาไหลพรากร่วงเป็นสายไหลบนกลางใบไม้ หยดพรมตะไคร่น้ำเขียวคล้ำจวนเจียนแห้งตายกระทั่งต้นชุ่ม เขียวชอุ่ม
ฟ้าครามนั่งยอง ๆ ชันขาข้างหนึ่ง บีบไหล่วาหว่าแน่น พู่กลิ่นเดินตามมานั่งข้างฟองทะเล ดอกหมากเดินเลี่ยงหลบด้านหลังแมกไม้
ไหลน้ำยืนผงาด แสงตะวันยามบ่ายสาดร่างเขา ใบไม้แห้งปลิวหมุนวนลอยจากพื้นสู่ท้องนภารอบกายเขา วนเวียนรอบ ๆ ใบหน้า นัยน์ตาเขาค่อย ๆ พร่าลง ๆ ภาพเบื้องหน้า ด้านหลังหลุดลอยทีละภาพ ม่านฝุ่นสีเทากลางฟากฟ้ากว้างใหญ่เข้ามาแทนที่ชัดขึ้น ๆ ในที่สุดเขาก็ยืนเคว้งคว้างกลางทะเลทราย
* * *
ไม่มีความเห็น