ทำไมเกิด เกิดมาทำไม


เหมือนคำสุภาษิตที่ตรัสว่า “เมื่อผู้นำดีผู้ตามดีต้องดีแน่ เหมือนโคผู้นำฝูงข้ามแม่น้ำ ถ้าโคผู้นำ นำไม่ดีก็จะพาฝูงโคจมน้ำตายทั้งฝูง”

 วันนี้ผมได้เข้าไปอ่านธรรมะที่คิดว่าตัวเองถนัด คิดว่าธรรมดาแต่เมื่ออ่านแล้วกลับไม่ธรรมดาเลย นี่แหละหนาเขาเรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ใต้กะลายังมีกบอยู่ ปลาที่คิดว่าตัวเองรู้จักน้ำดี แต่ไม่รอดปากนกกระยางไปได้ เอ๊ะ เกี่ยวกันหรือเปล่า คือเขาอธิบายเรื่องทั่วไปที่เราท่านได้ยินได้ฟังเป็นพื้นฐานอย่างแน่นอนถ้าพระเทศน์ต้องได้ยินเรื่องนี้แน่นอน เรื่องนี้คือ “วัฏฏสงสาร” แต่เขาอธิบายแบบง่ายจนเราเองคิดไม่ถึง (หมายถึงผมคนเดียวครับที่คิดไม่ถึง) เขาบอกว่า คนเรานี่เกิดมาเพื่ออะไร ? เกิดมาทำไม ? จะตายยังไง? อันสุดท้ายผมเสริมเองครับ

 สามประโยคนี่ละครับที่อธิบายวัฏฏจักร ของการดำรงชีวิตของสัพพะสัตว์ทั้งมนุษย์ และสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย เพราะมันหมายถึงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นหลักธรรมของพุทธศาสนาเลยขอรับท่านผู้มีอุปการคุณ เอาคำแรกมาตีความแบบผมดู คำว่าเกิดมาทำไมนี่ถามว่าท่านทั้งหลายเคยคิดไหมครับคิดจริง จริง ตั้งใจคิดเหมือนตอนที่เราสอบเข้าอะไรสักอย่างหนึ่งไหม ถ้าถามผม ผมก็ตอบว่าไม่เคยคิดจริง จริง หรือไม่ก็ตอบว่าคิดทำไมให้โง่ เรื่องง่าย ง่าย แค่นี้ ก็เกิดมาเพื่อกอบโกยสิน่า ไม่ใช่ครับ เกิดมาเพื่อความฝันอันสูงสุด คือเพื่อไขว่คว้าความสุขเท่าที่มีในโลกนี้ขอรับ บางคนบอกว่าน่าจะเกิดมาเพื่อกอบโกย โกง กิน มากกว่าก็ว่ากันไป แต่ในทางธรรมแล้วจะให้ตรงที่สุดก็ต้องบอกว่า “เกิดมาเพื่อตาย” ไหมละถ้าเอาความจริงมาพูดก็เศร้าแบบนี้ละ

 เกิดมาเพื่อกินข้าว ไปทำงาน กลับบ้านนอน เสพสุขบ้างถ้ามีเวลา แต่ก็ต้องรีบมาทำงานเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต หาเวลาที่เข้าห้องน้ำยังยาก วันไหม่ก็ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวรีบไปทำงาน กลับบ้าน นอน เสพ เข้าห้องน้ำ นี่เอาแบบรวบรัดครับ วัน วัน ก็จะวนเวียน วนเวียนอยู่อย่างนี้เป็นเดือน ปี หลายๆปี ชาติหนึ่ง สอง สามฯฯฯ ถ้ามี การที่วิถีชีวิตที่ดำเนินไปอยู่อย่างนี้ไม่สิ้นสุดนี่ละครับเขาเรียกว่าวัฏฏะสงสาร หรือ การเวียนว่ายตายเกิด ยิ่งเป็นข้าราชการประจำนี่จะเห็นชัดเจนถ้าทุกท่านมองย้อน ย้อน แล้วก็ย้อนกลับไปดูแต่ละวัน แต่ละวันว่าวันหนึ่ง หนึ่ง เราทำอะไร เราก็จะถึงบางอ้อว่า เราทำอะไรนี่ช้ำ ช้ำ ชาก ชาก วันหนึ่ง หนึ่งในการกระทำของเราไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่เลยครับเพียงแต่เรามองกลับไปให้เห็นความจริงเท่านี้ก็สมควรที่จะเกิดนิพพิทารึเปล่า แต่ที่เรามองไม่ถึงตรงนี้เพราะเรายังไม่มีการพัฒนาหรือเรียกว่าการภาวนาที่เพียงพอครับ

 เกิดเป็นคนนี่มันมีความคิดที่ต่างกันครับ บางคนคิดแบบที่ไม่คิดว่าจะเป็นความคิดของคนก็ยังมี เฮอะ เฮอะ พูดให้งงงเล่น แต่มีจริง จริงครับ อย่างเรื่องเดียวกันนี้แหละบางท่านก็คิดว่า เมื่อเราเกิดมาแล้วไม่ต้องคำนึงถึงคนอื่นทำไงให้ตัวเองมีความสุขที่สุดก็พอ แบบที่แม้ความสุขนั้นจะได้มาด้วยความทุกข์ของผู้อื่น มีชีวิตอยู่วันนี้เพื่อเสพ กิน อย่างเดียวไม่ต้องคำนึงถึงชาตินี้ ชาติหน้า บาปกรรมมีไม่มี คนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่มีจริง ฯ อย่างนี้มันไม่น่าจะเป็นความคิดที่เป็นของคนนะครับ เพราะโลกที่วุ่นวายไม่ลงตัวหมุนด้วยความเอียงอยู่ทุกวันนี้สาเหตุมาจากคนที่คิดผิด ทำผิด ยังไงก็แล้วแต่คนดีคนชั่วก็จะมีอยู่ตราบเท่าที่โลกยังหมุนไปได้ หมุนไป หมุนไปเป็นวัฏฏะจักรเป็นวงเวียนของชีวิตทุกชีวิต วงเวียนที่ว่ามาก็จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็จะดับไป ดับไปก็จะเกิดใหม่ ตั้งอยู่ใหม่ ดับไปไหม่  นี่ละที่ท่านบอกว่าสงสารไม่มีที่สุดอันใครใครตามดูรู้ไม่ได้ ถ้าคนคิดได้อย่างที่มันเป็นจริงสักหน่อยโลกนี้ก็จะน่าอยู่ขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะท่านที่เป็นผู้นำต่าง ต่าง มีแต่ระดับความรู้จบสูง สูงทั้งนั้นถ้าบุคลเหล่านี้มีความเชื่อที่เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่บ้าง เชื่อบาปบุญ ชาตินี้ชาติหน้าก็คงจะดีครับ

 เหมือนคำสุภาษิตที่ตรัสว่า “เมื่อผู้นำดีผู้ตามดีต้องดีแน่ เหมือนโคผู้นำฝูงข้ามแม่น้ำ ถ้าโคผู้นำ นำไม่ดีก็จะพาฝูงโคจมน้ำตายทั้งฝูง” เชื่อหรือเปล่าครับที่ผมจะบอกว่าคนที่มีความรู้ส่วนมาก ส่วนมากนะครับไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ ชาตินี้ชาติหน้า โดยเฉพาะเรื่องของการทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วนี่ คนที่เป็นคนระดับแนวหน้าไม่เชื่อ ไม่เชื่อยังไม่พอนะครับแถมคัดค้านไม่ให้คนอื่นเชื่ออีก ถึงกับบอกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกว่าให้สันโดษตามมีตามได้นี่ใช้ไม่ได้ โดยให้เหตุผลว่า ถ้าให้สันโดษ ไม่ให้มีความอยากก็จืดชืด ประเทศก็ไม่พัฒนานะชิเพราะคนไม่มีความอยากก็ไม่กระตือรือร้นทำการงาน ต้องมีความโลภ ความอยากโลกจะได้พัฒนามีชีวิตชีวา จะได้มีการแข่งขันกันให้เกิดประโยชน์ ท่านทั้งหลายละมีความคิดแบบนี้ใช่หรือไม่?.... ก็เพราะแนวคิดแบบนี้ละครับจึงทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้นำออกมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร ผมฝากท่านทั้งหลายให้คิดเล่นครับ มาว่าเรื่องการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป (ตาย) สรุปว่าเมื่อเราคิดถูกต้องตามธรรมแล้ว การเกิดของเราต้องดีแน่นอน การที่เรามีชีวิตอยู่ทุก ทุก วันนี้ก็ต้องดีตาม เมื่อการเกิดดี การตั้งอยู่ดี การที่เราดับต้องดี๑๐๐%

อันนี้ก็ฝากท่านทั้งหลายให้พิจารณาตัวของเราเองว่า เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร แล้วจะตายอย่างไร(อย่าหาว่าแซ่งครับ ความจริงครับ) เมื่อคิดได้แล้วเราก็ทำให้ชีวิตอันมีลมหายใจที่น้อยนิดที่เหลืออยู่ให้ดำเนินไปตามทางที่เราหวัง เพราะชีวิตของเราอย่าให้ไปอยู่ในอำนาจของคนอื่น อย่าให้ใครอื่นบันดาลความสุข ความทุกข์ให้ อย่ารอโชควาสนาฯฯฯ จงบรรดาลชีวิตของเราด้วยตัวเราเองครับท่านทั้งหลาย สวัสดี มีความสุขทุก ทุก ท่าน อมิตตาพุทธ

เกิดขึ้นตั้งอยู่รู้ชีวิต เมื่อดับจิตตั้งอยู่รู้ลมหาย

เกิดขึ้นตั้งอยู่รู้จนตัวตาย ไม่เสียดายชีวิตที่เกิดมา

เกิดไม่รู้หูหนักตามืดบอด มืดตลอดตั้งอยู่คู่โมหา

เกิดพร้อมโกรธตายพร้อมความโลภา  อนาถหนาเกิดมา มา ทำไม

หมายเลขบันทึก: 305673เขียนเมื่อ 13 ตุลาคม 2009 22:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 14:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เกิดมาเพื่อพัฒนากรรมค่ะ

เรียนรู้ที่จะสงบอย่างแท้จริงต่อไป

ไม่ใช่เกิดมาใช้กรรม แล้วสร้างกรรมใหม่ให้ต้องตามไปชดใช้ต่อไป

ขอบคุณค่ะ

นมัสการพระคุณเจ้า

อ่านแล้วเขียนความเห็นเลย ไม่ทันดูเจ้าค่ะ ว่าผู้เขียนเป็น "นักบวช"

เลยพิมพ์ความเห็นแบบเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน

มาเห็นอีกทีตอนเปลี่ยนหน้าใหม่

กราบนมัสการลาเจ้าค่ะ

ขอบคุณ ไม่ใช่สิ เจริญพรคุณโยม ณัฐ อาตมาเป็นนักบวชก็จริงแต่ขอบอกว่ามือคนละชั้น ตามคุณไม่ทันหรอกแต่เพราะรักพระศาสนาก็เลย ทนเขียนให้ท่านทั้งหลายอ่าน เพื่อเป็นลายมือประกอบส่วนของพระบ้าง เจริญพร

ขอบคุณท่านครับ กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท