บทความรวบรวมเรียบเรียงขึ้นเมื่อปี 2546 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในระดับปริญญาโท หลักสูตร สื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ ม. เชียงใหม่
บทนำ
การเลือกชมภาพยนตร์ในยุคปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นการพักผ่อนที่มีความเหมาะสมกับยุคสมัยโดยมีจุดดีดังต่อไปนี้
ประเทศไทยของเราเป็นประเทศประชาธิปไตย ไม่ค่อยมีการกีดกันภาพยนตร์จากประเทศต่างๆ ดังนั้นเราจึงมีทางเลือกในการเลือกชมภาพยนตร์ได้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์จากฮอลลีวูด, ญี่ปุ่น, เกาหลี,จีน, ไต้หวัน, อินเดีย และภาพยนตร์ไทยของเราเอง
ถึงแม้หลายคนจะมองว่าภาพยนตร์เป็นความบันเทิงราคาถูก เป็นกิจกรรมที่คนในครอบครัวสามารถใช้ร่วมกันมาก แต่ในทัศนะของผู้รวบรวมซึ่งก็จัดได้ว่าเป็นนักชมและนักวิจารณ์ภาพยนตร์คนหนึ่ง ได้มองเห็นอีกมุมมองหนึ่งซึ่งอาจเป็นมุมมองในแง่ของจุดเสียของภาพยนตร์และอาจถึงขั้นเป็นตัวบ่อนทำลายสังคมของเราลงด้วยในเวลาเดียวกัน
ภาพยนตร์หรือที่เราเรียกกันว่าหนังนั้น ทุกวันนี้ถือได้ว่าเป็นสื่ออีกสื่อหนึ่งซึ่งทรงอิทธิพลมาก ถึงแม้นักวิชาการบางท่านอาจมองว่ามีอิทธิพลน้อยกว่าสื่ออื่นๆ เช่นโทรทัศน์ เพราะเรามีโทรทัศน์กันเกือบทุกบ้าน และมีการเลือกชมโทรทัศน์กันอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ทำให้โทรทัศน์เป็นสื่อที่ครอบงำสังคมโลกไปแล้ว แต่ผู้รวบรวมมองในอีกมุมมองหนึ่งว่า สื่อโทรทัศน์หากเราไม่ต้องการบริโภคเราก็ไม่ต้องไปเปิดดู แต่ภาพยนตร์เป็นสื่อที่ผู้ที่เข้าชมต้องมีความอยากจะบริโภคแล้วเลือกที่จะเดินเข้ามาชมเอง เป็นสื่อที่ผู้บริโภคต้องพร้อมที่จะเกิดความ “ยินยอม” ที่จะบริโภคเท่านั้น
พาดหัวข่าวที่เราได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่านับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน สาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นนั้นก็มาจากความ โลภ โกรธ หลง ทั้งนั้น หรือว่าศีลธรรมจรรยากำลังเป็นสิ่งที่คนทุกวันนี้กำลังขาดแคลนจิตสำนึกในการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเป็นสิ่งที่สูญหายไปจากใจใครบางคนแล้ว จากสภาพแวดล้อมรอบข้าง ที่มีส่วนอย่างมากในการกระตุ้นให้ความดิบเถื่อนที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของใครบางคนหลุดออกมาจากการควบคุม
ภาพยนตร์มีอิทธิพลต่อสังคมไทยของเรามากน้อยเพียงใด ให้สังเกตจากการเกิดกระแสความนิยมในตัวละครที่โลดแล่นอยู่บนแผ่นฟิลม์ แล้วพัฒนาความนิยมไปเป็นการเกิดพฤติกรรมเลียนแบบนักแสดงตามมา ไม่ว่าจะเป็น ในยุคหนึ่งที่วัยรุ่นเมืองไทยมีแฟชั่น ต้องตัดผมรองทรงสูงและเดินเอียงคอตามแบบ “สุภาพบุรุษทรชน” ชีพ ชูชัย ในภาพยนตร์อาชญากรรมเรื่องดัง “เล็บครุฑ” จนเกิดคำพูดที่ว่า “เป็นผู้ร้ายจอเงิน ต้องเดินเอียงคอ” ซึ่งยังถือว่าไม่ได้ส่งผลกระทบกับสังคมมากนัก แต่ในกรณีของเด็กอาชีวะที่มีการยกพวกตีกัน หรือก่อคดีปล้นแล้วฆ่าเจ้าทรัพย์ โดยอ้างว่าเลียนแบบมาจากภาพยนตร์ กระทั่งล่าสุด เมื่อประมาณเดือน สิงหาคม 2003 นี้เองที่มีเด็กนักเรียนชั้นประถม ไปสักยันต์ “มหาอุด” เลียนแบบตัวละครเอกในภาพยนตร์ หรือกรณีชาวอำเภอพรหมพิราม ต่อต้านภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เป็นต้น
สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้สังคมเริ่มหันกลับมามองดูว่า มันเกิดอะไรขึ้นมาในสังคมไทยเรา? หรือว่าคนในสังคมยุคใหม่สับสนจนต้องอาศัยแบบอย่างจากตัววีรบุรุษในใจของตนเอง????? หลายคนโทษว่าเป็นผลมาจากสื่อภาพยนตร์โดยเฉพาะภาพยนตร์แนวอาชญากรรม ที่ช่วยสร้างความชาชินต่อความรุนแรง การถือแบบอย่างก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีการจับตามอง ด้วยเนื้อหาที่แสดงความเก่งกาจของตัวเอกที่ทำลายล้างเหล่าศัตรูหรือเป็นจอมวางแผนอันแยบยล ในการเป็นนักจารกรรมหรือแม้แต่ฆาตกร จนกลายเป็นวีรบุรุษในใจของใครบ้างคน สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ควรถูกมองข้ามไป เราควรตระหนักถึงการป้องกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาในภายหลัง
ปูมหลังและสังคมกับภาพยนตร์อาชญากรรมไทย
ยุค “อันธพาลครองเมือง”
จากสภาวการณ์ของโลกตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบสิ้น ตามด้วยสงครามเย็นและสงครามเกาหลี และที่สำคัญที่สุดเป็นช่วงการเมืองไทยอยู่ในยุคมืด (1945 - 1957)ประชาชนทั่วไปเริ่มเบื่อหน่ายกับสภาพความเป็นอยู่ของตนเองที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตนในวันต่อไป ช่วงเวลานั้นเริ่มมีทหารอเมริกันหรือ GI เข้ามาตั้งฐานทัพในดินแดนไทยบ้างแล้ว สิ่งที่ตามมากับ GI เหล่านี้คือความเจริญจากโลกตะวันตก ภาพยนตร์สีและมีเสียงในฟิลม์จากชาติตะวันตกเริ่มเข้ามาแทนทีภาพยนตร์เงียบขาว - ดำ และได้รับความชื่นชอบจากผู้ชมเป็นอันมาก โดยเฉพาะภาพยนตร์แนวอาชญากรรมหรือ “Gangster” ได้รับความนิยมสูงสุด
พวกอาชญากร มิจฉาชีพ ถูกเลี้ยงไว้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างเสริมอำนาจบารมีให้กับ ตำรวจ นักการเมือง และพ่อค้าวานิชย์ผู้มีอิทธิพล ส่วนสภาพบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นก็เต็มไปด้วยปัญหาอาชญากรรม เกิดโจรและชุมโจรนามกระฉ่อนขึ้นมามากมาย ถึงขนาดรวมกันจัดตั้งเป็น “กองทัพเถื่อน” สร้างกฏของหมู่โจรขึ้นมาแข่งกับกฏหมาย หากใครอยากได้ความยุติธรรมก็ต้องไปหา “พ่อเสือ” ซึ่งถือว่าเป็นนายใหญ่ของโจรตัดสิน ซึ่งชุมโจรเหล่านี้มีมากมายทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็น “เสือฝ้าย เสือใบ เสือดำ เสือมเหศวร” 4 ขุนโจรเมืองสุพรรณ “ชุมโจรบ้านกอไผ่” จังหวัดนครปฐม หรือกรณี “17 ขุนโจรปิดตลาดปล้น” จังหวัดอยุธยา เป็นต้น
เมื่อประชาชนไม่รู้จะหาที่พึ่งทางใจ เพื่อเป็นทางออกอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้น ก็พยายามแสวงหา “ทางออก” เพื่อที่จะบำบัดแผลและเยียวยาจิตใจของตนเอง ให้ลืมเรื่องเหล่านี้ไปจากสมอง กลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์ก็มองเห็นจุดนี้เช่นกันกับประชาชนทั่วไป แต่นักธุรกิจย่อมเป็นนักธุรกิจ พวกเขาต้องพยายามหาช่องทางที่จะทำเงินได้เมื่อเห็นว่าภาพยนตร์ต่างชาติที่ทำเงินมาก ๆ ก็คือภาพยนตร์แนวอาชญากรรม ผลก็คือมีการเลือกสร้างภาพยนตร์แนวอาชญากรรมเลียนแบบต่างชาติ แต่ดัดแปลงให้เป็นเรื่องแบบไทยๆแทน สร้าง “สุภาพบุรุษทรชน” ขึ้นมาปราบเหล่าร้าย เพราะเขาเหล่านี้รู้เท่าทันเกมส์กับพวกคนเลวๆ สามารถตอบแทนความเลวของทรชนได้โดยวิธีการของเขา ผลตอบรับที่ได้คือ “โดนใจตลาด” ได้ทั้งกล่องได้ทั้งเงิน มีภาพยนตร์ที่ยกมาเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจศึกษาอยู่ 2 เรื่องคือ
ภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องนี้ประสบผลสำเร็จอย่างใหญ่หลวง เพราะทั้ง 2 นำเสนอวิธีการตอบโต้กับพวกเหล่าทรชนเดนมนุษย์ด้วยความรุนแรงและความตาย ซึ่งในชีวิตจริงๆของประชาชนทั่วไปไม่สามารถกระทำได้ ถือเป็นการสร้าง “ทางออก” ให้กับชีวิต แต่ในมุมมองกลับกันของผู้เรียบเรียงถือว่า มันเป็นจุดเริ่มของการสร้างภาพความรุนแรงและฉากที่มีเรื่องเกี่ยวกับการแสดงบทรักลงไปในแผ่นฟิลม์ ซึ่งในยุคนั้นถือว่าใหม่มาก การแสดงบทรักกันทำได้แค่เกาะกุมมือไว้ หรือมากสุดแค่โอบกอดกันเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าในจิตสำนึกของทั้งตัวผู้สร้างและผู้จัดจำหน่ายเองนั้น เริ่มที่จะไม่สนใจว่าจะเกิดผลกระทบอะไรตามมากับสังคมจากการชมภาพยนตร์แล้ว ขอเพียงแต่มี “รายได้” เข้าสู่กระเป๋าตนเองเท่านั้น
ยุคพระเอก - ทรชน
เมื่อสังคมไทยผ่านมาถึงยุคของ “ขุนพลผ้าขาวม้าแดง” ที่ประกาศนโยบายล้างความโสมมของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับพวกนักเลงหัวไม้ จนทำให้ ”แก็งค์วัยรุ่น” ชื่อดังแห่งยุคไม่ว่าจะเป็น “แดง ไบรเล่ย์”หรือ ”ปุ๊ ระเบิดขวด” แม้กระทั่งนักแสดงชื่อดัง “เกชา เปลี่ยนวิธี” ก็ถูกจับขังจนล้นเรือนจำบางขวาง เพื่อเป็นการ “อบรม” นิสัยให้กับคนเหล่านี้ หรือการสั่งยิงเป้าผู้กระทำความผิดอย่างเฉียบขาดตามมาตรา 17 ฯลฯ ทำให้ภาพ “อันธพาลครองเมือง” ถูกลบออกไปจากสมองประชาชน บ้านเมืองเริ่มพัฒนาขึ้นแต่เป็นไปอย่างช้าๆ ประเทศถูกครอบงำไปด้วยปัญหาที่มาจากกลุ่มอำนาจทางการเมืองภายในประเทศที่เริ่มสะสมขึ้นมา การแพร่ระบาดของความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน เป็นยุคของพวก “ขวา - ซ้าย” และเกิดสงครามที่เกิดมาจากความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันในประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ผู้ผลิตภาพยนตร์ก็สร้างภาพยนตร์แนวอาชญากรรมแบบ “วีรบุรุษ” ในมุมมองของพวกฝ่ายขวา เลียนแบบคาวบอยตะวันตกออกมาตอบสนองตลาด ซึ่งได้รับการสนับสนุนการสร้างจากรัฐบาลด้วยดีไม่ว่าจะเป็น นักแสดงประกอบซึ่งก็คือทหารอาชีพจริงๆ ที่ถูกเกณฑ์มาเข้าฉากในฐานะ “ตัวประกอบ” ค่าตัวถูกๆ อาวุธประกอบฉาก แม้กระทั่งยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่นั่นคือ รถถัง เครื่องบิน หรือเฮลิคอปเตอร์ ทำให้ภาพยนตร์ที่สร้างมีความสมจริง ยิ่งใหญ่เหมือนกับภาพยนตร์ตะวันตก ตัวอย่างเช่น อินทรีแดง สี่คิงส์ ครุฑดำ เป็นต้น ซึ่งภาพยนตร์แนวนี้เปรียบเสมือนกับเป็นตัวแทนของฝ่ายบ้านเมืองที่คอยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน ตัวเอกก็แสดงตนเองให้ผู้ชมเห็นว่า ตนเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งมีฐานะพอกินพอใช้ ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง แต่ทนเห็นความไม่เท่าเทียมกันในสังคมไม่ได้ เลยแสดงตัวออกมาเป็น “ผู้ปราบอาชญากรรม – The Punishment” เน้นความสะใจเป็นหลัก แต่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ ต้องสวมหน้ากากปิดบังความจริงไว้ ซึ่งก็เหมือนเดิมสำนึกทางสังคมของผู้รับผิดชอบในเรื่องภาพยนตร์ เริ่มลดหดหายลงไปอีกให้แต่ความ “มันส์ สะใจ” ไม่สนใจในแง่ความจริงที่ว่าไม่มีทางที่จะมีใครสักคนกล้าทำอย่างนี้จริงๆ คำกล่าวถึงภาพยนตร์ในช่วงนี้คือ “หนังแบบระเบิดภูเขา เผากระท่อม ”
ยุคคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า
ภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อสังคมไทยอย่างใหญ่หลวง กำเนิดกลุ่มพวก “คนรุ่นใหม่” หัวคิดก้าวหน้าเหมือนกับ ยิปปี้ ยัยปี้ในสหรัฐฯ กลุ่มคนเหล่านี้มีมุมมองกับแนวความคิดเกี่ยวกับสังคมไทยเปลี่ยนไป พวกเขากล้าแสดงออกในสิ่งที่คนรุ่นเก่าไม่กล้าทำ คนกลุ่มนี้มีการศึกษาสูงบางท่านจบจากต่างประเทศ ทำให้การสร้างงานออกมามีมาตรฐานสูงขึ้นจากเดิม มีการใช้เทคนิคและวิธีการเล่าเรื่องในแบบสากลมากขึ้น (จากบทสัมภาษณ์นักแสดงรุ่นเก่าที่ผู้เรียบเรียงเคยค้นคว้า พบว่าก่อนหน้ายุคนี้การถ่ายทำภาพยนตร์ในฉากที่ต้องใช้ปืน จะต้องใช้กระสุนจริงเท่านั้นเพราะกระสุนเทียมและเทคนิคพิเศษมีต้นทุนการผลิตสูงมาก) แต่ลักษณะตัวเรื่องเป็นแบบไทย สามารถสะท้อนมุมมองในสังคมไทยได้ชัดเจนกว่ายุคก่อนหน้า สภาพสังคมเริ่มพัฒนาไปมากเพราะไม่มีความรุนแรงทางการเมือง และปัญหาเกี่ยวกับความไม่สงบในประเทศเริ่มลดลง กระแสความเจริญหลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศไทย คนกลุ่มมีอยู่หลายท่าน ที่ทำงานอยู่ในวงการภาพยนตร์ และเริ่มมองเห็นว่าปัญหาอาชญากรรมที่สำคัญที่สุดในสังคมไทยเรานั้นมาจาก “ยาเสพติด” ซึ่งติดตามมาจากความเจริญทางวัตถุ พวกเขาได้เอาข่าวเด็นประเด็นร้อนใหม่เอี่ยมนี้ ไปเป็นวัตถุดิบใหม่แกะเก่า ในการสร้างภาพยนตร์ ซึ่งไม่มีภาพของ “วีรบุรุษ” หรือ “สุภาพบุรุษทรชน”อีกต่อไป ตัวเอกก็เป็นเพียงมนุษย์ปุตุชนธรรมดา ภาพยนตร์เน้นไปเล่นกับอารมณ์ผู้ชมมากกว่าเดิม มีตัวอย่างภาพยนตร์ที่น่าสนใจมากคือ
ภาพยนตร์ยุคนี้เริ่มลดบทบาทของฉากบู๊ลงไป แต่เน้นไปที่ฉากเซกส์ ฉากที่มีการฆ่ากันด้วยความรุนแรง ให้ผู้ชมได้เห็นกันอย่างจะๆ แต่โดยรวมแล้วผู้เรียบเรียงมองว่าเป็นยุคของภาพยนตร์แนวอาชญกรรม ที่มีการแสดงจิตสำนึกทางสังคมออกมามากที่สุด เพราะถึงแม้ Theme หลักๆ จะมีภาพและภาษาที่รุนแรงกว่ายุคก่อนหน้านี้ แต่ผู้สร้างถ่ายถอดให้เห็นออกมาว่า อาชญากรรมที่เกิดขึ้นมา มาจากการถูกบีบคั้นจากสภาพสังคม มีความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่า เป็นการ “แนะนำ” ให้ทุกคนขยะแขยงที่จะทำความชั่ว เน้นการทำความดีไม่ทำสิ่งที่ผิดเหมือนตัวละครในเรื่อง มากกว่าที่จะเป็นการ “ชี้นำ” ให้กระทำในสิ่งที่ผิด
ยุคปัจจุบัน
ภายหลังจากโลกประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ในปี 1997 ทุกๆคนเริ่มเกิดความหวาดกลัววิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของตนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความหวาดกลัวต่อภัยการก่อการร้าย กลัวว่ารัฐนาวาที่นำประเทศจะพาไปสู่ความล่มจมแตกสลาย และกลัวที่สุดว่าตัวเองจะกลับไปสู่ความยากจนเหมือนในอดีต ทั้งที่เคยมีนักวิชาการหลายคนเคยตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจที่ว่าเจริญเติบโตดี ก็มาจาก “ลมปาก” ของคน และเมื่อมันล่มสลายก็เพราะ “ลมปาก” ของคนเช่นกัน (ดังนั้นเราควรตั้งสติให้เข้มแข็ง ไม่หลงไปกับคารมของนักการเมืองที่วาดฝันไว้อย่างสวยหรู) คนก็เริ่มหาอะไรที่จะเป็นสิ่งที่ช่วย “ระบายความกดดัน” ที่มีอยู่ในจิตใจ ผลก็คือเกิดภาพยนตร์ในแนว “บู๊แบบหนังฮ่องกง” คือเน้นไปที่ความอาฆาตพยาบาท การแก้แค้น ซึ่งกันและกัน ตัวเอกมักจะทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อผู้อื่นอีก อัดภาพความรุนแรงและเซกซ์ลงไปจนเต็ม ผู้เรียบเรียงมองว่ามันแทบไม่เหลือความเป็นภาพยนตร์ไทยในแบบเดิมอีกเลย ต้องสร้างในแบบที่คิดว่าต้อง “Go Inter” ได้ แต่ผลที่ออกมาคือ การวิ่งตามชาวบ้านโดยไม่ได้มองตนเองเลย
โดยสรุปภาพยนตร์อาชญากรรมไทย มีวิวัฒนาการตามสภาพสังคมไทย มีจุดที่ผู้เรียบเรียงตั้งข้อสังเกตไว้ก็คือ ในยุคแรกๆ ที่เกิดปัญหาอาชญากรรมแบบ “ชุมโจร” ขึ้นมา รูปแบบการก่ออาชญากรรม ช่างคล้ายกับภาพยนตร์คาวบอยตะวันตกมาก พอยุคต่อมาที่เกิดกลุ่มอาชญากร “ตี๋ใหญ่” ที่ถือได้ว่าเป็นชุมโจรยุคสุดท้ายในประวัติศาสตร์อาชญากรรมไทย ส่วนหนึ่งก็ได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ที่สร้างจากชีวิตส่วนหนึ่งของโจรระดับ”เสือ” ในยุคก่อนหน้านี้ หรือในยุคปัจจุบันเช่นกันที่อาชญากรรุ่นใหม่ มักจะอ้างว่ารูปแบบการก่ออาชญากรรมของตนเลียนแบบจาก “ภาพยนตร์” เป็นไปได้หรือไม่ที่แท้ที่จริงแล้ว กลุ่มอาชญากรเหล่านี้ ก็เป็นเพียงแค่โจรธรรมดาทั่วไปที่มีพฤติกรรมการปล้นฆ่าโหดเหี้ยมกว่าโจรทั่วไปเท่านั้น แต่ถูกคนบางกลุ่ม ”ดึง” มาเป็นจุดขาย ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์, ภาพยนตร์ พอหมดหัวข้อที่จะเอามาสร้างประเด็น ก็หาพฤติกรรมของโจรกลุ่มอื่น มาสร้างจุดขายใหม่แทน เหมือนกับว่าพวกเขาเลียนแบบอาชญากรบนแผ่นฟิลม์ จนตัวเองก็กลายเป็นอาชญากรไปด้วย พอชีวิตที่โลดโผนของพวกเขาปิดฉากลง ก็ถูกกลุ่มผลประโยชน์นำเอาเสี้ยวหนึ่งของชีวิตคนเหล่านี้ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ต่อ โดยเกิดเป็นวังวนแบบนี้ไม่รู้จักจบสิ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าจับตามองเป็นอันมาก
ตัวอย่างล่าสุดที่เกิดขึ้นก็คือกรณี “เจ้าพ่ออ่างชอบแฉ” ออกมาประกาศท้าชนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในกรณี “ส่วย”ผู้เรียบเรียงมองว่าอีกไม่นาน คงมีภาพยนตร์เรื่องคล้ายกันนี้ออกมา เพราะมีรายการโทรทัศน์และละครหลายรายการ สร้างตัวละครที่เลียนแบบพฤติกรรมของ “เจ้าพ่ออ่างชอบแฉ” ออกมานำเสนอ ซึ่งก็ถือว่าประสบผลสำเร็จทางการตลาดมากพอสมควร
เรามาศึกษาภาพยนตร์อีกรูปแบบหนึ่งที่ถือได้ว่า มีส่วนได้สร้างกระแสความรุนแรงให้เกิดขึ้นกับภาพบนแผ่นฟิลม์นั่นก็คือ ภาพยนตร์ทดลอง (Experimental Film)
ภาพยนตร์ทดลอง – Experimental Film เมื่อความอุจาดกลายเป็นศิลปะ
ดังได้เกริ่นนำมาในหัวข้อที่แล้วว่า ภาพยนตร์อาชญากรรมมีส่วนสร้างกระแสความรุนแรงขึ้นในสังคมแต่กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภาพยนตร์ กลับมองเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ “ขายได้ ไม่ต้องสนใจศีลธรรม จรรยาบรรณ” ผู้เรียบเรียงยังมองไปอีกว่า ยังมีภาพยนตร์อีกแนวหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกกันเป็นอย่างทางการคือ “ภาพยนตร์ทดลอง” หรือที่เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า “หนังใต้ดิน – Underground Film” เป็นงานที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนอง “ความใคร่” ในแบบของตัวผู้สร้างเอง
ภาพยนตร์พวกนี้เองที่เป็นตัวจุดประกายความคิดใหม่ๆให้กับวงการภาพยนตร์ มุมมองที่เราเห็นในภาพยนตร์แล้วเกิดความรู้สึกว่าแปลกน่าทึ่ง ล้วนได้มาจากภาพยนตร์ทดลองแทบทั้งสิ้น แต่ส่วนใหญ่มักจะถูกสร้างมาเพื่อเป็นผลงานที่ถูกนำออกฉายในวงแคบ หรือเป็นกรณีศึกษาให้กับนักศึกษาที่เรียนมาทางด้านนี้เท่านั้น ไม่นิยมนำมาฉายให้บุคคลภายนอกรับชมเพราะ “ดูไม่รู้เรื่อง” และที่สำคัญ “ขายไม่ได้”
“Un Chien Andalou” ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ทดลองเรื่องแรกที่ถูกสร้างมาแบบอุจาด แล้วมีการนำออกฉายสู่สถานะชน มันถูกสร้างขึ้นมาโดยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในวงการ Surrealism สองท่านคือ “หลุยส์ บุนเยล” และ ”ซัลวาดอร์ ดาลี่” มีเนื้อหาต่อต้านกฎเกณฑ์ของสังคมและศาสนา เป็นภาพยนตร์เงียบ ขาว – ดำ มีความยาวเพียง 18 นาทีเท่านั้น แต่ในเนื้อหานั้น เต็มไปด้วยภาพความรุนแรงน่าสะอิดสะเอียนชวนอุจาดตาในลักษณะของสัญลักษณ์และต่อต้านสังคมเข้าไปเต็มเหยียด ถึงขนาดว่าในครั้งแรกที่มีการนำออกฉายสู่สาธารณะ ก่อให้เกิดการจลาจลขึ้นอย่างใหญ่หลวง ฝูงชนที่โกรธแค้นต่อภาพที่เห็นได้ทำการพังโรงภาพยนตร์ พังจอฉายและเผาฟิลม์ ถึงแม้คนในยุคปัจจุบัน (รวมทั้งผู้เรียบเรียงที่ได้ชมแล้ว) ก็จะต้องตกใจและสะอิดสะเอียนกับฉากหลายๆฉาก โดยเฉพาะที่ถือได้ว่า “สุดโต่ง” คือฉากที่มีผู้ชายเอามีดโกนกรีดลงบนลูกตาของผู้หญิง ซึ่งทำออกมาได้อย่างสมจริง นักสร้างภาพยนตร์ยุคต่อมาก็ได้ใช้มันเป็นแบบอย่างในการสร้างภาพยนตร์แนว “อุจาดศิลป์” ออกมาป้อนสู่ท้องตลาดเรื่อยๆจนปัจจุบัน มันกลายเป็นสิ่งที่ขายได้ดี คนนิยมดู แต่สิ่งที่ขาดหายไปจากรูปแบบเดิมความเป็นภาพยนตร์ทดลองคือ แปลงให้ศิลปะกลายเป็นงานเชิงพาณิชย์ และภาพยนตร์แนวอาชญากรรมก็เลือกที่จะเอา “อุจาดศิลป์” มาเป็นจุดขายสำคัญด้วย
“แซม เพ็คคินพาห์” ถือเป็นผู้กำกับที่เป็นต้นแบบของความรุนแรงที่สวยงาม (ว่ากันว่า จอห์น วู, เจมส์ คาเมรอน,จอห์น แม็คเทียร์แนน ก็บูชาครูด้วยการเลียนแบบการใช้เทคนิคในฉากต่อสู้สำคัญเป็นประจำ)ตัวอย่างงานภาพยนตร์ที่น่าสนใจของเขามีดังนี้
มีอีกหลายเรื่องของผู้กำกับท่านอื่นที่เป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาไม่ว่าจะเป็น“The Exorcist” หรือ “The Taxes Chainsaw Massacre” ถึงแม้ว่าทั้งสองเรื่องนี้จากไม่ใช่ภาพยนตร์อาชญากรรม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบนแผ่นฟิลม์นั้น มันก็คืออาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยฆาตกรนั่นเอง
The Exorcist (1973)ของ วิลเลียม ฟรีกิน ถือเป็นภาพยนตร์แนวต่อต้านศาสนาและพระเจ้าที่รุนแรงที่สุดเท่าที่โลกเคยสร้างมา เมื่อออกฉายครั้งแรกคนดูถึงกับอาเจียน และต่อต้านถึงขั้นทำลายโรงภาพยนตร์ เขาอัดฉากอุจาดตาเข้าไปเต็มเหยียด แต่เพราะลูกเล่นของเขาเน้นไปที่ความลึกซึงทางศาสนา เป็นการต่อสู้ระหว่าง พระเจ้ากับซาตาน โดยมีตำรวจช่วยเป็นตัวเชื่อมโยงทำให้กลายเป็นเรื่องของอาชญากรไป ผลคือไม่ประสบความสำเร็จในบ้านเรานัก เพราะบ้านเรานิยมบริโภคแต่ฉากที่สยดสยองเป็นหลัก
The Taxes Chainsaw Massacre (1974)ของโทบี ฮูเปอร์ เป็นภาพยนตร์ที่ถึงกับทำให้คนดูหัวใจวายตายคาที่นั่งชม ถึงขนาดที่ว่าโรงภาพยนตร์ต้องทำประกันชีวิตให้กับผู้ชมด้วย แม้แต่เมืองไทยก็ยังทำตาม เป็นเรื่องของกลุ่มอาชญากรโรคจิตที่มีตัวตนจริงในสหรัฐฯ โทบี นำมาปรับปรุงใหม่จนกลายเป็นต้นกำเนิดของภาพยนตร์แนวที่เรียกกันว่า “ฆ่าทุกคนที่ขวางหน้า” และ “ฆ่าด้วยอุปกรณ์แปลกๆ” (ภาพยนตร์ไทย-เทศชื่อดังหลายเรื่องก็มีต้นแบบมาจากเรื่องนี้) เขาฉีกรูปแบบแหกคอกกฎเกณฑ์เก่าๆที่เคยมีมา โดยให้ตัวฆาตกรใช้ “เลื่อยไฟฟ้า” ฆ่าคนทั้งเรื่อง หากเราได้ยินเสียงเลื่อยไฟฟ้านั่นหมายความว่าจะต้องมีฉากคนถูกฆ่าตาย ในรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้น ทุนในการสร้างเพียง 300,000 $ แต่กลับให้ภาพในแง่ความสมจริงได้อย่างน่าทึ่ง มีมุมมองในภาพยนตร์ที่น่าสนใจยิ่งคือ มันสะท้อนถึงความวิปริตของสังคมและมนุษย์ออกมาอย่างชัดเจน
ทั้งสองหัวข้อที่ผ่านมาทำให้สามารถมองออกมาได้ว่า ภาพยนตร์ที่เมื่อก่อนเรามองว่ามันเป็นเครื่องมือในการช่วยผ่อนคลายความเครียดและเป็นกิจกรรมที่ทั้งครอบครัวสามารถที่จะทำร่วมกันได้ แต่มันไม่ใช่เสียทั้งหมด มีบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่านั้น แต่เราจะทำอย่างไรดีที่จะควบคุมตรวจสอบและพิจารณาภาพยนตร์ก่อนที่จะบริโภค มีเครื่องมืออะไรช่วยได้…..มีครับนั่นคือการเซ็นเซอร์หรือการจัดเรทให้กับภาพยนตร์
การเซ็นเซอร์และการจัดเรทภาพยนตร์
ความหมายของการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ก็คือ การที่มีหน่วยงานหน่วยงานหนึ่งมีหน้าที่และบทบาทในการกำกับดูแล และตรวจสอบว่า ในภาพยนตร์หนึ่งเรื่องมีฉากหรือมีบทสนทนาใดบ้าง ที่ไม่เหมาะสำหรับการเผยแพร่ออกสู่สาธารณะชน ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนาที่มีคำพูดหยาบคาย ล่อแหลมต่อการจุดฉนวนความขัดแย้งในสังคม, ศาสนา หรือภาพที่มีความรุนแรง และมีการแสดงออกถึงการมีเพศสัมพันธ์กันอย่างโจ่งแจ้ง เป็นต้น
ระบบการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ในช่วงก่อน ปี ค.ศ. 1968 ในประเทศสหรัฐฯ มีการตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อทำการจัดการเซ็นเซอร์และควบคุมการสร้าง ภาพยนตร์ เป็นหน่วยงานที่รัฐบาลสหรัฐฯ จัดตั้งขึ้นมา มีการใช้เครื่องมือในการจัดการกับภาพยนตร์ที่เรียกว่า Production Code
เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่สังกัดกับรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้หลักการในการสร้างและเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ยุคแรกโดยเฉพาะยุค ขาว – ดำ หน่วยงานที่กำกับดูแล จะถือว่าภาพยนตร์คือความบันเทิงและต้องแสดงภาพที่เรียบร้อยสุภาพต่อสาธารณชน เช่น ห้ามมีภาพความรุนแรง การฆ่ากันตายอย่างโหดร้ายทารุณ ห้ามมีฉากที่มีการแสดงนัยสำคัญทางเพศไม่ว่าจะเป็น ฉากกอดจูบเล้าโลมกัน ห้ามมีฉากชายหญิงนอนด้วยกันบนเตียงเดียวกันต้องแยกกันนอน ฯลฯ และด้วยสภาวการณ์ของโลกในขณะนั้นเป็นยุคสงครามเย็น (Cold war) ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเข้ามาควบคุมสื่อภาพยนตร์อย่างหนัก งานสร้างที่สร้างเพื่อเชิดชูประเทศตนเอง หรือมีการสร้างภาพของ “วีรบุรุษในรูปลักษณ์แบบอเมริกัน” ขึ้นมาก็จะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ อยากได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐฯหน่วยใด สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้ และสนับสนุนให้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์ “The Green Berets” ที่สร้างและนำแสดงโดย จอห์น เวยนส์ รัฐบาลสหรัฐฯ ถึงกับออกทุนให้เพื่อนำภาพยนตร์เรื่องนี้ไปฉายทั่วโลก (เป็นหลักการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำได้อย่างแนบเนียน) เพราะภาพของ จอห์น เวยนส์ เป็นวีรบุรุษของชาติอเมริกาและคนทั้งโลก ดังนั้นการที่วีรบุรุษ (ซึ่งเป็นคนอเมริกัน) ทำสงครามกับเวียดนามเหนือก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
หากแต่ไม่ว่าผู้กำกับหรือนักแสดงคนใด สร้างงานหรือรับแสดงบทบาทที่เป็นคนละขั้วอำนาจกับประเทศสหรัฐฯ จะถูกกล่าวหาหรือยัดเยียดข้อหา “เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” ต้องถูกเนรเทศ หรือสั่งแบนผลงาน ตัวอย่างเช่น ชาร์ลี แชปปลิน นักแสดงและผู้กำกับที่ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในฮอลลีวูด ยุคทศวรรษที่ 1920 – 1930 เคยสร้างและนำแสดงภาพยนตร์ ขาว – ดำ เรื่อง “The Great Dictator” ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนิยมคอมมิวนิสต์ จนต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และจบชีวิตลงที่นั่นอย่างน่าเศร้า
ไม่มีความเห็น