พอดีคุณพงศกร ลูกศิษย์ COE11 ได้ส่งไฟล์พระพุทธเจ้าคิดอะไรมาให้ น่าสนใจทีเดียว ลองดูนะคะ
น่าจะใช้คำว่าพระพุทธเจ้ารู้อะไรที่ตรงตามความเป็นจริงดีกว่านะครับ
ขอเจริญพร
คุณ Phornphone ค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยม พอดี อ ไม่ได้เขียนแผนภูมิเองค่ะ จริงๆ ก็มองได้หลายแง่ และแง่หนึ่งที่มองได้ก็จากแง่ที่คุณ Phornphone มองค่ะ
นมัสการพระมหาแล ขอบคุณค่ะที่เข้ามาเยี่ยม พอดี ตั้งชื่อบันทึกให้เป็นชื่อเดียวกับแผนภูมิค่ะ
คุณณัฐรดาได้เขียนอีเมลมาหาและแสดงข้อคิดเห็นดังนี้ ซึ่ง อ ก็จึงขออนุญาตคุณณัฐรดาเอามาแสดงที่บันทึกนี้ด้วยค่ะ
ได้อ่านแผนภูมิพระพุทธเจ้าคิดอะไรแล้ว นับถือผู้คิดแผนภูมินี้ในแง่ของความพยายามมากเลยค่ะ
อย่างไรก็ดี อยากเสนอความคิดไว้เล็กน้อยค่ะ
1) นิโรธ คือสภาวะที่ไร้ทุกข์ หรือไม่มีทุกข์ให้ดับ ในแผนภูมิเขียนคำว่า " รู้การดับทุกข์" ลงไป ทำให้ความหมายเลยเปลี่ยนไป กลายเป็นว่ารู้ว่าจะดับทุกข์ด้วยวิธีใดหรือเปล่าคะ
มองว่า การรู้ว่าควรดับทุกข์ด้วยวิธีใด และการกระทำเพื่อให้ทุกข์ดับนั้น ควรจะอยู่ในมรรคนะคะ ส่วนนิโรธ คือผลของการที่ดำเนินตามมรรคน่ะค่ะ
ขอยกที่พระคุณเจ้าท่านบรรยายไว้มาประกอบนะคะ
“ นิโรธ” ที่แปลกันมาว่าความดับทุกข์ ซึ่งจะต้องเข้าใจลึกลงไปให้ถูกต้องว่าเป็น การทำให้ไม่มีทุกข์ที่จะต้องดับ หรือทำให้เกิดภาวะไร้ทุกข์ มิใช่เป็นเพียงการกำจัดทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว ”
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต ) สมาธิ ฐานสู่สุขภาพจิตและปัญญาหยั่งรู้ ( หน้า ๑๐๙ ) สำนักพิมพ์ศยาม ๑๑๗ – ๑๑๙ ถนนเฟื่องนคร เขตพระนคร กรุงเทพ ๑๐๒๐๐
“ทุกข์คือตัวปัญหา เป็นสิ่งที่เราไม่เอา แต่เรายังไม่ต้องปฏิบัติ เราต้องรู้ให้ชัดว่าอะไรเป็นปัญหาที่เราจะต้องไปให้พ้น
สมุทัยคือตัวเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งต้องสืบสาวให้รู้ตามหลักความจริงที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยว่า อ๋อ ทุกข์เกิดจากเหตุ และเหตุนั้นคืออะไร เหตุนั้นเรารู้ว่าจะกำจัด แต่เรายังไม่ได้ทำอะไร
จากนั้นเราก็รู้ด้วยว่าเมื่อกำจัดเหตุแห่งทุกข์ได้ เราจะเข้าถึงจุดหมายคือนิโรธ
แต่ทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้ก็ด้วยการลงมือทำในข้อสุดท้ายคือมรรค
ฉะนั้น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สามอย่างนี้เราเข้าใจว่ามันคืออะไร และเราจะต้องทำอะไรต่อมัน แต่เราปฏิบัติไม่ได้ สิ่งที่จะปฏิบัติได้คือข้อที่ ๔ ได้แก่ มรรค
เมื่อเราปฏิบัติตามมรรค เราก็จะกำจัดสมุทัย.... แก้แหตุแห่งทุกข์ได้ เราก็พ้นจากทุกข์....หมดปัญหา และเราก็บรรลุนิโรธ....เข้าถึงจุดหมายได้ ”
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต ) ทุกข์สำหรับเห็น แต่สุขสำหรับเป็น ( หน้า ๒๐ – ๒๑ ) สำนักพิมพ์อมรินทร์ พิมพ์ครั้งที่ ๑๕ อมรินทร์บุ๊คพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง ๖๕/๑๖ ถนนชัยพฤกษ์ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพ ๑๐๑๗๐ พิมพ์ครั้งที่ ๑ ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๗
(ในข้อที่ชี้แจงมานี้ ถ้าดิฉันแปลความหมายของคำที่เขียนว่า นิโรธ / รู้การดับทุกข์ผิดไปจากเจตนาของผู้สร้างแผนภูมิจนชี้แจงมาใหญ่โตก็ขอโทษด้วยค่ะ)
2) มรรคมีองค์ 8 ยังไม่สมบูรณ์ในแง่ผลการปฏิบัติค่ะ ต้องเป็นสัมมัตตะ 10 จึงจะสมบูรณ์
ก็คือ หลังจากมี 8 ข้อ ตามมรรคแล้ว ต้องมีสัมมาญาณะ เป็นข้อ 9 และสัมมาวิมุติ เป็น ข้อ 10 ค่ะ
3) ตถาตา นั้น น่าจะอยู่ในช่วงของสัมมาญาณะนะคะ คือเมื่อปฏิบัติจนเกิดปัญญาญาณแล้ว เห็น ธรรมะ (ตา)ต่างๆ 9 ตา (ตถาตา คือหนึ่งในนั้น ) แล้วจึงวิมุติ หลุดพ้นค่ะ
4) ก่อนจะมีมรรคมีองค์ 8 ควรมีบุพนิมิต 7 มาก่อนค่ะ คือน่าจะเป็นบุพนิมิต แล้วมีลูกศรชี้ไปสู่มรรคมีองค์ 8 ค่ะ
มองว่าผู้สร้างแผนภูมินำความรู้หลายๆระดับ (วิชา ,ปัญญา, ญาณ) มาปะปนกันน่ะค่ะ จากสัมมาทิฏฐิ จึงมีลูกศรชี้ไปกลุ่มโยนิโสมนสิการ เพราะโยนิโสมนสิการ อยู่ในบุพนิมิต อันเป็นความรู้เบื้องต้นค่ะ ไม่ใช่ความรู้แจ้ง ตามที่ท่าน ป.อ.ปยุตฺโตได้บรรยายไว้ (ขอยกบันทึกนี้มาค่ะ http://gotoknow.org/blog/nadrda/300114)
เขียนมาเยอะแยะเลย หากดิฉันผิดพลาดอย่างไร หรือทำให้ลำบากใจ ก็ขออภัยด้วยนะคะ และหากดิฉันผิดพลาดอย่างไร รบกวนอาจารย์แจ้งแก้ไขด้วยนะคะ
ขอแสดงความนับถือค่ะ
ณัฐรดา
สวัสดีครับ
เห็นด้วยกับคุณ Phornphone ครับ หรือไม่ก็พระพุทธเจ้าสอนอะไร?
ความคิดนะครับ>>>จะอย่างไรก็ไม่จบหรอกครับ จะเรียนที้งชีวิตก็ไม่จบ มากสุดก็เพียงแต่ยกเอาธรรมขอใดข้อหนึ่งหรือหมวดใดหมวดหนึ่งมาปฎิบัติเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงตามพระองค์ แต่ก็ไม่เท่าที่พระองค์รู้หรือแม้แต่ที่พระองค์สอนก็ยังยากแสนยาก
ขอบคุณค่ะคุณเอกชนและคุณ Phornphone
ตอนนี้ก็เปลี่ยนชือบันทึกเป็น พระพุทธเจ้าสอนอะไร แต่คงไม่สามารถเปลี่ยนหัวข้อในแผนภูมิได้นะคะ เพราะไม่ได้ทำเองค่ะ ลูกศิษย์ส่งไฟล์ที่ได้จากคนอื่นค่ะ
ขอบคุณครับ ที่ทำให้มองเห็นหลักธรรมแบบในวงกว้าง ย่อให้เห็นได้ง่ายๆ
ขอบคุณมากๆค่ะ^^