ความจริงที่ประสพอยู่


ในขณะที่ผู้บริหารที่เป็นนักการเมืองเขามองเห็นว่าเราและคณะไปทำงานเพื่อนำชื่อเสียงมาให้กับท้องถิ่นจึงให้การสนับสนุนปัจจัยเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้คนทำงาน แต่อีกคนหนึ่งซึ่งรับผิดชอบด้านการศึกษาโดยตรงมาเรียกร้องเอาจากเรา ทั้ง ๆ ที่เราไม่มีจะให้ มันอะไรกัน ?

วันนี้เราถูกเจ้านายเรียกเข้าไปพบถามข้อสงสัยว่า"ทำไมคนทำงานระดับบริหารอย่างคุณถึงผู้คับบัญชาประเมินให้แค่ ๐.๕ ขั้นในครึ่งปีหลัง มีอะไรขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาหรือ?" เราบอกว่าไม่มีอะไร อาจจะขัดอะไรบางอย่างก็ได้ใครจะไปรู้  เราทำงานสไตล์ท้องถิ่น  ทำงานเชิญรุก  มากกว่านั่งรับอยู่ที่สำนักงาน อาจจะทำให้เขาด้อยคุณค่าลงก็ได้ เพราะตั้งแต่เราเข้ามากระแสตอบรับดีมาก  โรงเรียนรับได้ แก้ปัญหาให้โรงเรียนถ่ายโอนได้ระดับหนึ่ง จากที่เคยมืดบอดไม่ขยับเลย  เพราะก่อนหน้าที่เราจะมาทำงานที่อบจ.แห่งนี้ เราก็ได้ศึกษาข้อมูลมาพอสมควรว่าปัญหาอยู่ตรงไหน  แล้วเราก็ลงไปแก้ปัญหาตรงนั้น  ไม่ได้คิดว่ามันเป็นภาระ แต่คิดว่ามันคือหน้าที่  

เงื่อนไขหลายที่ถูกสร้างโดยเขา  เรามีหน้าที่มาแก้ อย่างเช่นเรื่องการกู้สหกรณ์ของครูทำอย่างไรให้ครูได้รับบริการที่สะดวกขึ้น  เป็นต้น

งานทุกอย่า่งบนกองการศึกษาเราจะทำแทนหมด โดยให้คำปรึกษาแก่ลูกน้องทุกคนให้เดินไปตามภารกิจปรัชญาของท้องถิ่นที่ว่า"แก้ปัญหาและสนองตอบความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น" ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เทวดา  แต่เป็นผู้รับใช้ประชาชน ถึงจะเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นได้  ต้องทำหน้าที่ "อำนวยการ ไม่ใช่บัญชาการ" แล้วเราจะเป็นที่รักของทุกคน เราจะปกป้องลูกน้องที่ทำงานดี ทำถูก ไม่ให้ใครรังแก ดังนั้น ก็ไม่แปลกที่เราจะได้ใจลูกน้องทั้งหมดในสำนักงาน เมื่อมิติมันถูกเปลี่ยนแปลง อะไรมันก็เกิดขึ้นได้

ความไม่รู้ในกรอบภารกิจงานของท้องถิ่นของเขาทำให้ความแตกต่างมันปรากฎชัดขึ้นและชัดขึ้นเมื่อเรามาอยู่ตรงจุดนี้  ความด้อยคุณค่าในตัวเองของเขามันยิ่งปรากฎชัดขึ้นอีกเช่นกัน  เมื่อเขาไม่เข้ามาเซ็นต์งานในภาคบ่ายของทุกวัน  และหายไปเฉย ๆ ในบางวันลูกน้องติดต่อไม่ได้  งานก็เร่งด่วน  ทำให้ภาพกองการศึกษาแย่ลงเพราะงานช้า แต่เราก็มิปริปากบ่นให้ใครฟัง  แต่เจ้านายเขารู้เพราะลูกน้องหรือเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติเขาก็ต้องบอกว่างานค้างอยู่ที่ใคร เพราะทุกคนก็ย่อมปกป้องตนเองและเอารอดด้วยกันทั้งนั้น นี่คือธรรมชาติของมนุษย์

แล้ววันนี้อะไรเกิดขึ้นกับเรา  ก็เจ้านายเขาสงสัยว่าคนที่ทำงานให้กองการศึกษามันขับเคลื่อนทำไมถูกประเมินให้ได้แค่ ๐.๕ ขั้น  เราก็อธิบายไม่ได้ก็ต้องไปถามผู้ที่ประเมินเราแล้วกันว่าเขาคิดอย่างไร..ส่วนเราเอง เขาให้เท่าไรเราไม่ใส่ใจอยู่แล้ว  เพราะเรามาทำงานเพื่องาน...ใครเห็นใครไม่เห็นช่างมัน...แต่เรารู้ว่าเราทำอะไรกับองค์กรนี้  

แล้วเราจะบอกท่านได้อย่างไรเล่าว่าขัดแย้งกันเรื่องผลประโยชน์  ซึ่งเราไม่สามารถจัดให้เขาได้ตามที่เขาต้องการเนื่องจากเราต้องมาทำงานที่ไม่มีผลประโยชน์  หรือถ้ามีเราก็ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวและไม่รับรู้  และก็อย่ามาแบ่งปันให้เราด้วย  เราจะขออยู่แบบรับเงินเดือนอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว  

วันแรกที่เราข้ามารับตำแหน่งเราเคยประกาศตัวชัดเจนว่าเราเป็นคนซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และไม่ทุจริตคอรับชั่น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะไม่ให้ความร่วมมือ ถ้าใครคิดจะทุจริตคอรับชั่นหาผลประโยชน์เข้าตนเอง

และวัแตกหักก็มาถึง เมื่อครั้งที่เราต้องเป็นหัวหน้าคณะนำทีมไปจัดนิทรรศการทางวิชาการในงานมหกรรมการศึกษาท้องถิ่นที่อิมแพคเมืองทองปีนี้ โดยที่เรายืมเงินเดินทางไปราชการเป็นค่าที่พัก  ค่าเบี้ยเลี้ยง  และค่าน้ำมันรถ เพราะนำรถตู้ไป ๒ คัน โดยมีครูและเจ้าหน้าที่ไปกับเรา จำนวน ๒๐ คน เรายืมเงินออกมาพอดีกับครูทุกคนและจ่ายให้ครูไปแล้ว เหลือแต่ค่าที่พักที่เราจะต้องไปจ่ายในวันที่เข้าพัก กลายเป็นว่าวันนั้นก่อนเดินทางเขามาขอเงินจากเรา ๒๐,๐๐๐  บาท  ซึ่งเราไม่มีให้ และบอกว่าไม่สามารถให้ได้เนื่องยืมมาเท่าจำนวนคน  ส่วนเงินที่เหลือก็เป็นค่าที่พักหากให้เขาไป  แล้วจะให้พวกเราไปพักที่ไหนกัน  เพราะเราต้องดูแลครูที่ไปด้วยทั้งหมดในฐานะหัวหน้าคณะ  แต่วันนั้นโชคดีในความตึงเครียดที่เคลียร์กันไม่ลงตัว ท่านรองนายกฯ ก็เดินเข้าไปควักเงิน จำนวน ๕,๐๐๐  บาทให้เราเพื่อใช้ในการดูแลลูกน้องระหว่างเดินทางจากภูเก็ต ไป กทม. เราจึงรับไว้ด้วยความขอบคุณ  มันช่างมีอะไรตรงข้ามกันเหลือเกิน ในขณะที่ผู้บริหารที่เป็นนักการเมืองเขามองเห็นว่าเราและคณะไปทำงานเพื่อนำชื่อเสียงมาให้กับท้องถิ่นจึงให้การสนับสนุนปัจจัยเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้คนทำงาน แต่อีกคนหนึ่งซึ่งรับผิดชอบด้านการศึกษาโดยตรงมาเรียกร้องเอาจากเรา ทั้ง ๆ ที่เราไม่มีจะให้  มันอะไรกัน ?

นับตั้งแต่วันนั้นมาเราจึงหมดศรัทธาให้ตัวผู้บังคับบัญชาคนนี้ในทันที  แต่เราไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร ยกเว้นลูกน้องเราที่เป็นเจ้าของโครงการซึ่งอยู่ในเหตุการณ์นั้นรับรู้และเป็นพยาน  มันทำให้เราอคติไม่ชอบคนที่โอนมามาจาก สพท. เพื่อหวังกอบโกยผลประโยชน์จากการศึกษา แค่นี้ยังไม่พอกันอีกหรือ แค่เห็นการศึกษามันล่มสลายเพราะคนทำการศึกษามันหวังแต่ผลประโยชน์ โดยไม่สนใจว่าเด็กจะได้อะไร  ขอให้ตนเองได้ไว้ก่อน  มันช่างอเหน็จอนาถใจเหลือเกิน ทำไมคนมันถึงขาดจิตสำนึกกันเช่นนี้หนอ

 










คำสำคัญ (Tags): #education
หมายเลขบันทึก: 302735เขียนเมื่อ 2 ตุลาคม 2009 16:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 02:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท