และแล้วโครงการส่งเสริมจริยธรรม ปี 2552 ก็สำเร็จเสร็จสิ้นตามภารกิจ โดยเฉพาะกิจกรรมครั้งสุดท้ายของปี งป.2552 มีผู้สนใจภายนอก (ฝ่ายฯ) ขอเข้าร่วมกิจกรรมและในจำนวนที่มากพอสมควร ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กใหม่ (น้องใหม่ที่เพิ่งเข้ารับราชการ คนเก่ามีค้อนข้างน้อย) ทุกคนดูมีความสุข นำบุญเข้าตัวกลับบ้านอย่างมีความสุข ผู้จัดเองก็เป็นปลื้มที่ได้นำคนเข้าวัด (ในลักษณะปฏิบัติจริง มิใช่เพียงชมสถานที่อันสวยงามเท่านั้น) สรุปแล้วผลตอบรับเป็นที่พอใจระดับมาก
เรื่องเล่าจากวัด
ชายคนหนึ่งมีภรรยา อยู่ 4 คน
ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจตลอดอยากได้อะไร เขาหาให้ทุกอย่าง
ภรรยาคนที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้ และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ
ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้งคราว
ภรรยาคนที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหา ไม่คิดถึงเลย ด้วยซ้ำ
ต่อมาชาย คนนี้ป่วยหนัก และจะต้องตายในไม่ช้า เขาได้ถาม
ถามภรรยา คน ที่ 1 ว่า " ถ้าเขาต้องตายภรรยาคนที่ 1 จะทำอย่าง ไร?
ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ถ้าเธอตาย เราก็จบกัน”
คำตอบที่ได้รับ เหมือนสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่างจัง
เขารู้สึกเจ็บปวด และเสียใจเป็นอย่างยิ่งนึกเสียดายว่า
เขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เลย
จากนั้นเขาก็ ไปหา ภรรยาคนที่ 2 ด้วยอาการเศร้าโศก และถามคำถามเดิม
กับภรรยาคนที่ 2 ว่า " ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2 จะทำอย่างไร? "
ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉย ว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะมีใหม่ "
เหมือนสายฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขา อย่างจัง เขารู้สึกเสียใจมาก และนึกเสียดายว่าที่ผ่านมา
เขาไม่ควร ทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน
เขาไปหาภรรยาคนที่ 3 และถามภรรยาคนที่ 3 ว่า
"ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 3 จะทำอย่างไร? "
ภรรยาคนที่ 3 ตอบว่า "ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง "
ทำให้เขาคลายความ เศร้าโศกขึ้นมาได้บ้าง อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับเขา
เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคน ซึ่งไม่เคยไปหาเลย จึงไปหา ภรรยาคนที่ 4
และถามว่า " ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4 จะทำอย่างไร?"
ภรรยาคนที่ 4 ตอบว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป ด้วย "
แทนที่เขาจะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก
เพราะ...มัน สายเกินไปเสียแล้ว ช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคนนี้
แต่ภรรยาคนนี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ด้วย
และเมื่อเขาตาย ภรรยาคนที่ 4 ก็ตายตามไป ด้วย.....
เราทุกคนก็ มีภรรยา 4 คน นี้
มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร?
ภรรยาคน ที่ 1 ร่างกายของเรา
เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่ เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่งทุกอย่าง
อยากได้อะไรก็หาให้ แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา
เมื่อเราตาย ร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้น
ภรรยาคน ที่ 2 ทรัพย์สมบัติ
เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่ เราจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้มันมา
แต่พอเราตาย มันกลับไม่ไปกับเรา แต่ไปเป็นของคนอื่น
ภรรยาคนที่ 3 พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่น้อง
เพราะพอเราตาย เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไปให้
แปลว่า เขาแค่ไปส่งเราเท่านั้น
ภรรยาคนที่ 4 บุญกับบาป
เมื่อเราตายไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยได้
มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้น ที่จะตามเราไป .....
คุณงามความดี และบาปกรรม เท่านั้นจะติดตัวเราไปตลอด
โปรดทำแต่กรรมดีกันนะครับ...
วันมาฆบูชา
ขึ่น 15 ค่ำเดือน 4 วันมาฆบูชา (Makha Bucha Day)ณ วัดสังฆทาน เป็นอีกหนึ่งวันที่เป็นวันดีสำหรับข้าพเจ้า ซึ่งนานๆจะได้มีโอกาสประสบกับสิ่งที่เรียกว่า "โชคดีมีบุญ" คือ หลังจากที่ข้าฯ ได้ตักบาตรเสร็จ แล้วปกติจะเดินไปยังลานธรรมเพื่อรับศีล แต่พอดีวันนี้ไปเร็วกว่ากำหนดยังไม่ถึงเวลารับศีล จึงได้เดินไปที่โบสถ์แก้วก่อน และที่นั้นเองคือที่ที่เป็นโชคดีมีบุญของข้าฯ หลวงพ่อได้ลงมาจากโบสถ์ (ปกติจะไม่เห็นท่านที่นั่น แต่อาจเป็นเพราะวันนี้มีบวชพระท่านอาจไปดูความพร้อม)เมื่อท่านได้ขึ่นรถกอล์ฟก็มีบรรดาลูกศิษย์เข้าไปกราบท่าน ข้าฯ ก็เป็นหนึ่งที่ได้มีโอกาสได้กราบท่านอย่างไกล้ชิดและท่านยังเอามือมาตีหัวเบา 3 ครั้ง ข้าฯ ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกซึ่งนับว่าเป็นโชคดีและเป็นบุญมากเลยที่มีโอกาสเช่นนี้ หลังจากที่ได้กราบหลวงพ่อแล้ว อ้อ! ลืมบอกไปวันนั้นได้พาลูกสาวไปด้วย "น้องนุช" ตอนนี้ อายุ 16 ปีแล้ว ขณะได้ส่งไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลียกับอาที่ Melbourne (2เดือน) ปกติเขาก็เฉยๆกับพิธีกรรมแต่ก็ศรัทธาในพุทธศาสนา และที่ไปด้วยเพราะไปเป็นเพื่อนพ่อ ดูท่าทางเขาก็โอเคดี เล่าต่อ.. จากนั้นก็เข้าไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ พระประธาน(หลวงพ่อโต) พระอรหันตธาตุ พระธาตุของพระอริยสงฆ์หลายองค์ และรูปปั้นหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก พระอาจารย์ของหลวงพ่อสนอง รวมทั้งเทพพยาดาในโบสถ์แก้ว กราบและสวดมนต์เสร็จก็ออกมานั่งบริเวณรอบโบสถ์เพื่อรับศ๊ล ปกติจะรับศีล ณ ลานธรรม แต่อย่างที่บอกไว้คนมาเยอะมากลานธรรมแน่นเลย วันนั้นก็เลยต้องมารับศีลที่โบสถ์ แล้วก็สงบจิตใจด้วยการนั่งสมาธิสักนึ่ง ต่อจากก็เดินไปทีบริเวณซุ้มอาหาร ซึ่งวันนั้นมีผู้ที่มีจิตศรัทธานำอาหารมาถวายพระและเลี้ยงคนที่มาร่วมทำบุญเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังต้องรอคิวกันทุกซุ้มเลย ข้าฯก็เป็นหนึ่งที่เข้าคิวร่วมบุญด้วย เห็นบรรดาเจ้าของซุ้มแต่ละซุ้มแล้วแต่คนละก็เหนื่อยกันเหงื่อหยดตามๆกัน แต่ดูเขามีความสุขกันมากที่ได้ทำเช่นนั้น "เหนื่อยแต่สุข" นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าฯเห็นว่า การใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข คือ การสุขที่"ใจ" หาใช่ที่กายไม่ บางคนร่างกายไม่ปกติหรือปกติแต่มีสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ลำบากยากแค้น แต่เขาก็สามารถอยู่อย่างมีความสุขได้ นั่นเพราะ <strong>ใจ</strong> เขาสุข ดังที่พระพุทธองค์ทรงดับทุกข์ ด้วยอริยสัจจ์ 4 นั้นคือ การดับทุกข์ที่ใจ (ทุกข์ คือ ความจริงของสิ่งทั้งหลายเป็นทุกข์,สมุทัย คือ สาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ ได้แก่ ความอยากที่ใจ ,นิโรธ คือ การดับทุกข์ ดับความอยากที่ใจ,มรรค คือ วิธีการดับทุกข์ ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา)ซึ่งเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนแก่โลก.ขอเท่านี้ก่อนนะครับ. ขออนุโมทนากับผู้ร่วมบุญทั้งหลาย.สาธุ มีภาพประกอบด้ายล่างขอรับ.