รุ่นน้องที่ทำงานผมครับ


ชีวิต, โอกาส

ผมเคยเขียนบันทึกไว้ใน okanation เรื่องเพื่อนของผมในวัยเด็ก (http://www.oknation.net/blog/stability/2008/08/05/entry-1) ทำให้มองว่าด้วยวัยที่มากขึ้น คนรอบข้างก็เยอะขึ้น นิสัยเป็นคนที่ชอบศึกษาและช่างสังเกตสิ่งรอบข้าง เป็นเหตุให้บันทึกเรื่องราวจากความทรงจำได้พอสมควร อย่างล่าสุด รุ่นน้องที่เคยร่วมงานกลับมาจากประเทศญี่ปุ่น การกลับมาของเธอกลับมาเพื่อจะแต่งงานตามประเพณีไทย ๆ กับเขยญี่ปุ่น ทำให้เกิดบันทึกเรื่องนี้ขึ้นมาเขียนให้อ่านกันเล่น ๆ นะครับ

 

 

ย้อนความไปตอนผมทำงานราวปี 2537 ผมได้ขอลาราชการไปเรียนต่อระดับบัณฑิตศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยระหว่างนั้นมีน้องใหม่เพิ่งบรรจุด้วยจากเงื่อนไขเด็กทุนกระทรวงวิทย์ฯ จบ ป.ตรี เธอมาทำงานใช้ทุนตามเงื่อนไข ดูเธอจะเก่งทั้งวิชาการและการประยุกต์การทำงานเป็นอย่างมาก ส่วนตัวผมมองว่าผมคงสู้อะไรเธอคงไม่ได้แน่นอน ผมกลับมาทำงานหลังจากลาราชการไปเรียน 2 ปี เธอก็อยากลาไปเรียนต่อเหมือนกันบ้าง แต่เธอก็กังวนเหมือนกันว่าผมจะใช้โควตาการลาต่ออีกปีหรือไม่ เป็นเหตุให้เธอไม่ใคร่จะถูกใจในตัวผมซักเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรผมก็ไม่ได้ลาต่อ ก็ใช้วิธีไปทำแลปเอาหลังเลิกงานตอนเย็น แล้วผมก็จบ ป.โทอีก 2 ปีถัดมา  ขณะนั้นเธอก็สมัครสอบเรียนต่อที่จุฬาต่อในสาขาที่ต่างไปจากผมเรียนไปเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่เธอเรียนอยู่นั้น เธอได้รู้จักกับอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นชาวญี่ปุ่น และอาจารย์เขาก็ชวนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นภายหลังที่จบ ป.โท ไปแล้วอีกทั้งพร้อมที่จะหาทุนและงานให้ทำ ด้วยเสร็จสรรพ  เมื่อข้อเสนอของอาจารย์ที่ปรึกษายื่นให้ขนาดนี้ และมองว่าโอกาสไม่ได้มีกันง่าย ๆ ด้วยสภาวะฐานะทางบ้านที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เธอจึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นโดยไม่ลังเล

 

 

สิ่งที่ตามมาในขณะนั้นคือการใช้ทุนที่เธอต้องคืนให้กับราชการ ทุนเก่าตอน ป.ตรีก็ยังไม่หมด ป.โท ที่เพิ่งจบมาก็ยังไม่เริ่ม ถือว่าหนักอยู่เหมือนกัน แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจลาออกจากราชการพร้อมกับชดใช้ทุนให้กับราชการตามที่สัญญาได้ลงนามกันเอาไว้ โดยบวกลบคูณหารดูแล้วว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นบวกมากกว่าเป็นลบ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ทำไมเด็ดเดี่ยวเหลือเกิน ข้อนี้ผมต้องขอชมเชยและน้อมรับด้วยความรู้สึกว่า เธอคือหญิงเหล็กจริง ๆ

เธอได้ลาออกจากราชการ ส่วนเงินนั้นผมก็ไม้ทราบได้ว่าไปหามาจากไหน ร่วม 4 แสนบาทได้กระมัง เงินอาจจะไม่มากเพราะการลาเรียนต่อในประเทศจะใช้เงินไม่สูงเหมือนไปต่างประเทศ การชดใช้ทุนก็แค่สองเท่าไม่เหมือนกับต่างประเทศที่เป็นอัตราสามเท่า

 

 

การกลับมาของเธอในวันนี้คือ Ph.D (Biotechnology) ทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัยอยู่ที่ญี่ปุ่น เงินเดือนเยอะกว่าเมืองไทยหลายเท่านัก แต่สิ่งที่รับรู้ตามมาคือ เธออยู่เมืองโอซากา เมืองที่ค่าครองชีพก็ไม่หยอกอยู่เหมือนกัน อีกทั้งรู้มากจากหัวหน้างานว่า เธออยู่อย่างประหยัดสุด ๆ เหมือนกันด้วยเพราะค่าครองชีพการเป็นอยู่ที่ไม่เบาเอาเสียเลย การมาเมืองไทยของเธอ เธอจะมาก่อนแล้วใกล้ ๆ วันแต่งแล้วเจ้าบ่าวค่อยบินตามมา เนื่องเพราะการขาดงานและค่าใช้จ่ายที่สูงกับรายได้ที่หดหายในระหว่างภารกิจส่วนตัว

เอาเรื่องเของรุ่นน้องมาเขียนด้วยเพราะรู้สึกสงสารกับการพยายามของเธอ ความเหนื่อยไม่รู้จักจบสิ้น สุดท้ายจะลงเอยอย่างไรก็ไม่ทราบได้ หากว่าให้ผมเลือกให้เป็นอย่างนั้น ด้วยความเป็นตัวเองในขณะนี้คงไม่เอาแน่นอน ด้วยเพราะไม่ใช่ตัวตนของผมเอง เห็นแล้วเหนื่อย ในโลกนี้ หากว่าจะเลือกด้านไหนก็ต้องเล่นบทนั้นให้ชัดเจน ชีวิตก็จะดำเนินไปตามที่ควรจะเป็น ข้อมูลและพื้นฐานชีวิตจะเป็นแรงขับเคลื่อนด้วยตัวมันเอง  เหนื่อยนักก็พักเสียบ้าง มีแรงก็เดินต่อไป ชีวิตใครก็ใครลิขิตเอาเอง เป็นเด็กก็หมั่นเรียนรู้ศึกษา โตขึ้นสั่งสมประสบการณ์ตัวเองให้เพิ่มพูนงอกงาม เข้าสู้วัยกลางคนและวันชราก็หมั่นสร้างฐานะให้มั่นคงสร้างคุณงามความดีให้คนรุ่นต่อ ๆ ไปได้เอาไปเป็นตัวอย่างที่ดี สิ่งดี ๆ ที่เหลือไว้ให้คนชื่นชม มากกว่าการจากไปที่มีแต่คนนินทาลับหลัง เงินก็เป็นพื้นฐานการใช้ชีวิตก็จริง แต่คงไม่ใช่ทั้งหมดหากว่าหมายถึงรายได้ อยากมีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง สบายตัวสบายใจมากกว่า ยังคิดเลยว่าหลัง เกษียณอายุราชการเมื่อไหร่จะไปบวชเป็นพระน่าจะดีกระมัง....ครับ

คำสำคัญ (Tags): #ชีวิต#โอกาส
หมายเลขบันทึก: 302072เขียนเมื่อ 30 กันยายน 2009 13:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท