ที่วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นวัดเดียวที่จัดเวทีส่งเสริมการแสดงเพลงอีแซวสุพรรณฯ มานาน เป็นยิ่งกว่าการอนุรักษ์ เป็นยิ่งกว่าการสืบสานศิลปะท้องถิ่น เพราะที่นี่คือแหล่งกำเนิดเพลงอีแซวตั้งแต่เมื่อ 100 กว่าปีมาแล้ว ในวันนี้วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร มีน้าจำลอง รุญเจริญ เป็นผู้นำในการจัดกิจกรรมนี้อย่างต่อเนื่องไม่เคยขาดตอน
วันนี้น้าจำลอง รุญเจริญอายุมากแล้ว เริ่มไม่คล่องตัวในการเดิน การเคลื่อนไหว (ยังถีบจักรยานได้) ท่าจะเดินเข้าออกระหว่างบ้านของท่านกับวัดป่าเลไลยก์ทุกวัน (บ้านท่านอยู่หน้าวัด) แล้วจะมีใครมาแทนท่านได้ หรือ ณ สถานที่อื่น ๆ จะมีคนที่คิดอย่างท่านอีกบ้างไหม ความจริงในส่วนลึก ๆ มาจากคณะกรรมการทั้งหมด แต่ว่าถ้าที่มีกรรมการที่เข้มแข็งสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นได้ยากมาก ครับ
นักเรียนของผมยังเสนอความเห็นเอาไว้อีกบางประเด็นเท่าที่ผมพอจะหยิบยกเอามานำเสนอในบทความนี้ได้ คือ การขาดความรับผิดชอบต่อบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง เด็ก ๆ หลายคนถามผมว่า “อาจารย์ทำเพลงพื้นบ้านมานานก่อนที่พวกผม/หนูจะเข้ามาอยู่ในโรงเรียนนี้เสียอีก อาจารย์ไม่เบื่อบ้างหรือ ครับ/ค่ะ” ผมตอบนักเรียนไปว่า “ก็มีเบื่อบ้าง บางครั้งครูก็อ่อนล้า หมดแรง เหนื่อยใจ แต่ว่าไม่ใช่มีที่มาจากเด็ก ๆ ในวงเพลงพื้นบ้านของโรงเรียน แต่สิ่งที่ทำให้ครูท้อแท้ มาจากสภาพแวดล้อมและผลกระทบจากที่อื่น ๆ ต่างหาก”
ผมพูดคุยกับนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเล่าถึงที่มาของการทำวงเพลงพื้นบ้าน โดยที่ครูไม่คิดว่า จะตั้งวงเพลงออกไปรับใช้สังคมได้อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะจุดเริ่มต้นมาจาก ครูรัก ครูสนใจ ครูอยากร้องรำทำเพลง จึงฝึกหัดเอาไว้เป็นความรู้ติดตัวแล้วค่อย ๆ พัฒนาจนมีความสามารถสูงขึ้นเพราะได้รับความรู้จากครูเพลงหลายท่านสอนให้ครูทำได้ ทำเป็นถูกรูปแบบแนวทาง (ได้เล่นเพลงกับนักแสดงรุ่นครู) มันเป็นความใฝ่ฝันที่มีติดตัวมานานโดยที่ไม่มีใครชักชวน ไม่มีใครบังคับ แล้วเด็ก ๆ เขาก็ขอให้ผมร้องเพลงขอทานให้ฟัง พอผมร้องจบเด็ก ๆ บอกว่า “ไม่เหมือนกับที่เขาได้ยินจากละครโทรทัศน์”
ในฐานะที่เราเกิดมาบนแผ่นดินที่มีศิลปินเก่าก่อนสร้างสรรค์ผลงานศิลปะการแสดงทีมีอายุนับ 100 ปี ผมมีความภาคภูมิใจในศิลปะพื้นบ้านทุกภาคของประเทศไทย เป็นความสวยงาม เป็นวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกัน แต่มีความเหมือนกันที่ เป็นความสนุกสนาน บันเทิง สุขหัวใจเมื่อได้เข้าไปสัมผัส หากไม่มีการสานต่อแล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ผมจึงทำงานเพลงพื้นบ้าน และทำงานศิลปะอีกหลายอย่างควบคู่กันมาตลอดเวลายาวนานในการรับราชการเกือบ 40 ปี และตลอดชีวิตของผม ย่างเข้าปีที่ 59 แล้ว ในทุกลมหายใจยังแว่วแต่เสียงร้องของครูเพลงที่สอนผมมาไม่ขาดสาย
ผมไม่มีวาสนาที่จะได้ทำหน้าที่ที่ใหญ่โต ผมไม่มีอำนาจที่จะสั่งการหรือดลบัลดานให้ใครทำอะไรก็ได้ ผมมีเพียงความสามารถที่ติดตัวมานานด้วยการฝึกฝนพอที่จะนำเอามาอบรมแนะนำลูกศิษย์ที่ผมสอน และเด็ก ๆ ที่สนใจเพลงพื้นบ้าน ได้รับการถ่ายทอภูมิปัญญาแขนงนี้ไปสู่ผู้อื่นโดยไม่คิดเสียดาย
ยังมีศิลปินตัวจริงอีกหลายท่านที่มีความคิดอย่างนี้ ได้แก่
- พี่ขวัญจิต ศรีประจันต์ (ศิลปินแห่งชาติ)
- พี่สุจินต์ ศรีประจันต์ (ศิลปินดีเด่นจังหวัด)
- ขวัญใจ ศรีประจันต์ (น้องสาวพี่ขวัญจิต)
- นกเอี้ยง เสียงทอง (นักเพลงอาชีพ)
- นกเล็ก ดาวรุ่ง (หัวหน้าคณะเพลงอีแซว) และอีกหลาย ๆ คน พวกเรายินดีที่จะถ่ายทอดความรู้จนหมดตัว เพื่อเป็นวิทยาทานต่อเด็ก ๆ รุ่นหลัง เพียงแต่ว่าไม่มีผู้ที่จะเข้ามารับความรู้หรือที่มาก็เพียงส่วนน้อย อยากให้นึกถึงความรับผิดชอบที่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอน ร่วมกันรักษาเอกลักษณ์ของท้องถิ่นที่โดดเด่น มีรูปแบบที่ถูกต้องสมบูรณ์เอาไว้ อาจจะลำบากสักนิด ยังดีกว่าที่จะเก็บสะสมเอาข้อผิดพลาดบกพร่องมาเก็บไว้
(ติดตามตอนที่ 9 สาเหตุที่เยาวชนไทยไม่สนใจเอกลักษณ์ของท้องถิ่น)
ขอเจริญพร
นมัสกาล ท่านมหาแล ที่เคารพ