อาชีวเวชศาสตร์กับความบิดเบี้ยวของสังคมไทย


สิ่งแวดล้อมมาบตาพุด มหาวิทยาลัยระยอง ความบิดเบี้ยวในการแก้ปัญหา

อาชีวเวชศาสตร์กับความบิดเบี้ยวของสังคมไทย

ยุคนี้เป็นยุคปลายทุนนิยม ไม่รู้ว่าจะก้าวไปสู่ยุคไหนต่อ มีความเป็นปัจเจกสูง มีคำถามต่อค่านิยมเก่าๆมาก มีความเป็นชุมชนหรือท้องถิ่นนิยมสูง การรวมศูนย์ค่อยๆหมดไป ในขณะเดียวกับ ปัญหาในเรื่องต่างๆเริ่มมีมากขึ้น ความเป็นสาธารณะลดลง คำถามในใจผุดขึ้นมามากขึ้น ใครก็ไม่สำคัญ ถ้าแก้ปัญหาหรือตอบสนองไม่ได้ก็ต้องหลีกไป

สัปดาห์ที่แล้วอ่านหนังสือพิมพ์พบข่าวเกี่ยวกับมาบตาพุด ว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมมาบตาพุดโดยเปิดมหาวิทยาลัยระยอง ฟังแล้วก็แปลกดี ไม่รู้ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาอย่างไร จะคล้ายมีรัฐบาลต้องตั้งกระทรวงใหม่ เพื่อมีตำแหน่งรัฐมนตรีเพิ่มอย่างไรอย่างนั้น ผมว่ามันเป็นการแย่งทรัพยากรกันหรือไม่ มีใครฉวยโอกาสอยู่หรือเปล่า ประชาชนมาบตาพุดต้องระวังให้ดี เหมือนที่พวกท่านทนทุกข์แต่มีนักวิจัยหลายคนเข้ามาใช้ประโยชน์ เอาพวกท่านเป็นเครื่องต่อรอง ทั้งนักวิจัยปัจเจก และข้าราชการหลายหน่วยงาน แนวทางการจัดการที่เคยคิดไว้ดีอยู่แล้วครับ เพียงแต่ทำให้มันขับเคลื่อน ทำให้มันเป็นไปได้ ถ้าจะดูบทเรียนให้ดูที่อำเภอแม่เมาะครับ ที่แม่เมาะ มีพระเอก นางเอก หลายคน บางคนเลิกแสดง แล้วกลับไปแสดงใหม่ก็มี บางคนเป็นพระรอง แต่แสดงต่อเนื่องก็มี มีตัวร้ายก็เยอะ เข้ามาฉวยโอกาส แล้วออกไป แล้วกลับเข้ามาฉวยโอกาสอีก การทำงานในเรื่องเหล่านี้ต้องอาศัยความทุ่มเท และจริงใจ ใกล้ชุมชนมาบตาพุด มีมหาวิทยาลัยบูรพา มีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง มีโรงพยาบาลระยอง มีโรงพยาบาลมาบตาพุด ทำอย่างไรให้เขามาช่วยเหลือพวกท่านได้เต็มที่ ส่วนกลาง มหาวิทยาลัยอื่น เป็นที่ปรึกษาก็พอครับ อย่าไห้พวกเขาได้อะไรออกไปโดยไม่มีชื่อของพวกท่านอยู่ด้วย อย่าให้เขาทำอะไรไร้สาระ และสร้างความตื่นตระหนกเพิ่มเติม ถ้าจะประกาศหรือบอกอะไร ขอให้แน่นอนก่อน มีหลักฐานยืนยันทางวิทยาศาสตร์ก่อน ไม่ใช่เจออะไรก็บอกว่าใช่ บอกว่ามีความสัมพันธ์ บอกว่าเป็น พวกท่านชาวมาบตาพุดก็จะอยู่ไม่ได้เพราะความตื่นตระหนก ไม่ใช่แต่พวกท่านต่อไปจะเป็นทั้งประเทศ

ขณะนี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในหลายที่เริ่มประทุขึ้น สิ่งที่ยังขาดอยู่มากคือ นักวิชาการด้านเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม แพทย์เวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม เนื่องจากโรคจากสิ่งแวดล้อมไม่ใช่โรคที่จะวินิจฉัยได้เหมือนบวกเลข ธรรมดาหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง แต่ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญ ประสบการณ์ การศึกษาตัวอย่างจากสถานที่ต่างๆ ในเมืองไทยมีนับคนได้ครับ (แน่นอนไม่ใช่ผม) และไม่ใช่ทำคนเดียวด้วย ต้องทำเป็นทีม ทีมที่สำคัญคือทีมที่จะช่วยพื้นที่ได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เข้าไปเมื่อมีเงิน หรือมีงบประมาณ ท่านต้องสร้างคนของท่าน โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่ใช่ตั้งมหาวิทยาลัยระยอง ไม่ใช่ตั้งคณะอาชีวเวชศาสตร์และเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม การตั้งมหาวิทยาลัยต้องมีจุดมุ่งหมาย จุดมุ่งหมายคงไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ถ้าจะตั้ง ก็ตั้งศูนย์สิ่งแวดล้อม สถาบันสิ่งแวดล้อม หรืออะไรก็ได้ที่ทำงานเพื่อแก้ปัญหาของท่านโดยตรง น่าจะมีประโยชน์มากกว่า ท่านสามารถทำได้โดยขอความร่วมมือจากโรงงานในนิคม จากรัฐบาล และน่าจะคล่องตัวกว่าถ้าบริหารจัดการในรูปมูลนิธิโดยใช้เงินบริจาคจากโรงงานหรือจากรัฐบาล ตั้งเป็นกรรมการจัดการ (รูปแบบเก่า) หรือเป็นกรรมการบริหารมูลนิธิ และมี board ดำเนินงาน มี CEO เป็นคนรับจ้างอยู่ภายใต้กรรมการมูลนิธิ ซึ่งจะมีส่วนร่วมของ ประชาชนในมาบตาพุด Board และ CEO ควรเป็นนักวิชาการหรือมืออาชีพด้านการบริหารจัดการ ให้โรงงานเข้ามามีส่วนร่วม นำผู้ว่าฯ สาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลจังหวัด เข้ามามีเอี่ยวร่วมด้วย ค้นหาปัญหาที่แท้จริง ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ถ้าเป็นไปได้คำนวนเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ที่สำคัญต้องนึกถึงความเป็นจริงด้วยครับ

ปัจจุบันการแก้ปัญหาในสังคมไทยบิดเบี้ยวเป็นอย่างมาก ด้วยความไม่ยอมใคร ด้วยการทำอะไรตามใจคือไทยแท้ (ไม่รู้ใครคิดคำนี้ขึ้น คิดได้ดีจริง) ดูปัญหามหภาคของคนใส่เสื้อสีต่างๆ (ยังสามารถมีได้อีกหลายสีครับ)  ดูใน web blog ที่มีการจ้องทำลายกัน (ดูเหมือนไม่มีใครรักใครแล้วครับ เป็นสังคมกูอยู่ มึงตาย) ที่โรงพยาบาลมีผู้ป่วยประกันสังคม มาหาสองครั้งไม่ดีขึ้น ไปหาเอกชน แพทย์ทำถูกต้องทุกอย่าง พอหายที่เอกชน ก็มาทวงเงินคืน บอกว่าแพทย์รักษาผิดพลาด ทั้งๆที่สิทธิตนเองอยู่ที่นี้ (ย้ำอีกครั้ง ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ และขอต่อด้วย สิทธิของกูมึงอย่าข้าม แต่สิทธิของมึงไม่ใช่หน้าที่ของกู) การแก้ปัญหาแบบเอาใจ แบบสุดโต่งในสังคมขณะนี้ เป็นการนำไปสู่การอยู่ร่วมกันไม่ได้ บางคนบอกว่าเหมือนของเหลวสองอย่างต้องเขย่าก่อนจึงจะเข้ากันได้ จะเขย่าขนาดใหนเล่าครับในเมื่อมองไม่เห็นทางแบบนี้ สังคมคงเป็นเหมือนยุคก่อนประวัติศาสตร์ หรือเลบานอน แน่นอน (มองเห็นภาพแล้ว) อย่าให้การแก้ปัญหาเป็นแบบนี้เลยครับ อย่าให้ผลประโยชน์อยู่เหนือการตัดสินใจ อย่าให้มันบิดเบี้ยวมากมายเลยครับ

ผมมีความหวังว่าปัญหานี้จะแก้ได้ ถ้ามีความร่วมมือ อย่าให้มือที่สามเข้ามาป่วน เชื่อมือบุคลากรของจังหวัดท่านเองดีที่สุด พวกเขาสามารถปรึกษาคนที่เก่งที่สุดของประเทศได้ทุกเมื่อ อย่าให้คนเข้าไปยุแยง หรือทำป่วน ท่านเดือดร้อนต้องมีคนมาจัดการปัญหาของท่าน ทำให้ดูเป็นตัวอย่างครับ ทำให้ดูเป็น model ประชาชนทั่วประเทศอยากเห็น และอยากเอาใจช่วยเสมอ ด้วยรัก และความหวังดี

 

หมายเลขบันทึก: 299509เขียนเมื่อ 21 กันยายน 2009 15:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 00:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท