ข้าพเจ้าทำงานหนักหรือมากไปหรือเปล่า?


ข้าพเจ้าจ่อหัวเรื่องเพราะอยากทบทวนตนเองในเรื่องนี้...

ซึ่งจริงๆ แล้วกระบวนการทบทวนต่อตนเองนั้นทำอยู่เรื่อยประจำทุกขณะลมหายใจเข้าและออก เพราะเรานั้นมิอาจรู้ได้ว่า "ความตาย" นั้นจะมาถึงเมื่อไร...

วิถีชีวิตที่ดำรงอยู่ คุณค่าและโอกาส...คือ การได้ทำเพื่อผู้อื่น เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น

ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเลยว่า...

ชีวิตทุกวันนี้จึงนำพา...มาแนวทางที่เป็นอยู่อย่างทุกวัน

การทำงานของข้าพเจ้า...มีทุกวัน ไม่มีเลยสักวันที่จะได้พักอยู่อย่างไม่ต้องทำงาน และการงานที่ทำมักจะเป็นในลักษณแห่งการเยียวยาจิตวิญญาณของผู้คน ที่เบื้องหน้านั้นอาจดูไม่ทุกข์อะไร หากแต่เมื่อก้าวเดินเข้ามาหา ต่างปอกเปลือกให้เห็นถึงสภาวะแห่งทุกข์ที่บีบคั้น

การทำงานของข้าพเจ้า...จะทำอยู่เท่าที่ตนเองสามารถทำได้

ก็คงจะไม่ต่างๆ จากที่คนอิสานที่หลั่งไหลไปใช้แรงงานในเมืองใหญ่ ที่ทำทุกอย่างเท่าที่ตนเองทำได้เพื่อความอยู่รอด

แต่การงานที่ข้าพเจ้าทำนั้น..ไม่ได้หวังในอามิสสินจ้าง

การใช้แรงงานของคนอื่นเขาใช้แรงจากอวัยวะแขน-ขา กำลังกาย ส่วนข้าพเจ้าเองก็ใช้แรงจากอวัยวะเช่นกันคือ สมอง...

ทำมา...ทำมา ก็เลยถามตัวเองเหมือนกันว่า ทำ...ทำไมเนี๊ยะ ทำไปเพื่ออะไร ไปรับจ้างทำงานเหมือนคนอื่นไม่ดีกว่าเหรอ เคยมีมูลนิธิหนึ่งติดต่อมาให้ช่วยเราก็ดีใจ แต่กลับเป็นว่าจะมาว่าจ้างเราก็เลยถอยออกมา เป็นมูลนิธิที่ขับเคลื่อนทางจิตวิญญาณ แต่เราจะมารับจ้างเอาเงินเพื่อทำงานทางด้านจิตวิญญาณมันก็กะไรอยู่ ก็เลยถอยห่างออก

ทุกวันนี้...เรานั้นมักนำปัจจัยภายนอกมาเป็นตัวล่อตัวเอง...

งานที่เราทำ เงินก็ไม่ได้ หรือได้มาเอาไปบริจาคต่อ...สงเคราะห์ช่วยชาติตามที่หลวงตามหาบัวท่านทำอยู่ เพื่อเราอยากคืนเงินให้กับหลวง เพราะเดี๋ยวคนงานของหลวงก็นำมาเบิกมาจ่ายทำโครงการนั้นโครงการนี้เพื่อสนองการงานของตนเอง

"เหมือนน้ำซึมบ่อทราย"... หลวงตาจะเทศน์สอนเสมอ แต่เราก็ไม่หยุดทำ

ก็คงเช่นเดียวกันการงานของตนเอง ... ทำไป ทำไป ...ทำไป

ทำไปจนวันหนึ่งอยากจะลาออกจากความเสียสละ...ไปกราบพ่อแม่ครูบาจารย์ ประโยคเดียวที่ท่านบอกคือ ... "อย่าเห็นแก่ตัว" ตอนนั้นได้ตื่นเลย ตื่นออกจากความทดท้อ โง่เง่าที่ครอบงำจิต ที่หันมามองแต่ตัวเอง...ทั้งๆ ที่การที่เราละเลิกมองตนเองแต่มองคนอื่นมากกว่า ว่าเราทำอะไรเพื่อผู้อื่นได้บ้าง ประโยชน์เกิดต่อพวกเขาได้อย่างไรบ้างจนบางครั้งลืมเหมือนกันที่ว่าตนเองนั้นทุกข์... ทำไปทำมา ก็ทำให้ทุกข์ที่บีบคั้นตัวเองหายไป...

อืม...ดีเหมือนกัน

สงสัยการทำงานนี้ทำให้เป็นเสมือน...ภาวนา...ภาวนาแห่งการงาน

การงานทำให้ละท้อ ละขี้เกียจ ละความเบื่อหน่าย...

เพราะการงานที่ทำสอนให้เห็นในตนเองได้ว่า ...ได้ฝึกฝนการเสียสละ อันเป็นการเสียสละออกจากตัวตน ที่ยึดอยู่ ...มีเพียงแรง สมอง ความสามารถ ดึงออกมาใช้มาทำ และเป็นการทำเพื่อทุกสรรพสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของตนเอง

 

หมายเลขบันทึก: 298883เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2009 06:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 ตุลาคม 2013 06:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีค่ะ ลูกสาวที่น่ารักของครูอ้อย

  • ครูอ้อย มีความรู้สึกที่ดี ที่อบอุ่น เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง  ถึงแม้ว่า จะไม่ได้เข้ามาทักทาย
  • ใครรู้จัก หนูกะปุ๋มดี  จะเข้าใจข้อนี้  ทำงานหนัก  ก็พัก และ สนุกนะคะ

ครูอ้อย รักและเป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ

ถ้ากรรมมันเคยตายเพราะทำงานหนักก็ให้มัน "ตาย..." ไปเน๊อะ

โอ๊ย!!! โดนใจ คำคมท่านสุญญตา

Dr. kapoom never die come true. (ก็ทำท่าเขียนภาษาปะกิตไปงั้นแหละ

ชีวิตจริงสอบตก)

วันนี้เราเกิดใหม่อีกหน สุขสันต์วันเกิดนะคะอาจารย์

เกิดเป็นคนที่ถ่องแท้ในตนเองที่มีความสุขกับการงานแห่งการภาวนา

ชีวิตนี้เข้าถึงพระศาสนาได้เพียงนี้ จะมีปิติใด ยิ่งไปกว่านี้เล่าคะอาจารย์

ทุกสิ่งที่ทำ ทุกงานที่สร้างจดจารไว้ในอาลัยวิญญาณหมดแล้ว ไม่มีใดใด ต้องกังวลถึงอีกเลย

ถ้าพี่ปุ๋มประเมินว่ายังรับไหว.........น่าจะยังมีพลังเหลือ

เพราะความเชื่อมั่นและศรทธาในวิถีและหนทาง

สู้ ๆนะค่ะ

นักบวชนอกเครื่องแบบ

555 กรรมกรน้อย Ka-Poom น่ะคือ..กว่า "นักบวชนอกเครื่องแบบนา"...

พี่น่ะเหมาะเป็นกรรมกรน้อย...มากกว่า สุขกว่า ปิติกว่า

แหม...กรรมกร..ผู้ออกแรงนี่...

ที่สุดแล้ว ... ได้ใช้โอกาส ได้เกิดคุณค่า และที่สำคัญได้ละความเห็นแก่ตัว...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท