ก่วนจ้ง
ต้องสร้างเศรษฐกิจให้มั่นคงเสียก่อน
จึงจะสร้างชาติที่มีอารยธรรม
ในสมัยชุนชิว ก่วนจ้งนับเป็นบุคคลที่เด่นที่สุด สมัยเด็กๆ ก่วนจ้งยากจนมาก มักจะไม่มีข้าวสารกรอกหม้อเสมอ เพื่อแก้ปัญหาปากท้องก่วนจ้งจึงคิดจะทำการค้า เขาเข้าหุ้นกับเปาซู่หยาซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก หลังจากการค้าขายได้กำไรมาแล้ว ก่วนจ้งก็จะขอส่วนแบ่งมากกว่า
เปาซู่หยาเสมอ เปาซู่หยาใจกว้างมาก ไม่เคยคิดว่า ก่วนจ้งโลภมาก เขารู้ดีว่าก่วนจ้งยากจนกว่าตน และยังมีแม่ที่จะต้องเลี้ยงดูอีกด้วย จึงต้องทำเช่นนี้
ครั้งหนึ่ง ก่วนจ้งทำการค้าขาดทุน ทำให้เปาซู่หยาพลอยลำบากไปด้วย แต่เปาซู่หยาก็ไม่ได้คิดว่าก่วนจ้งเป็นคนโง่ เขากลับคิดว่า การทำงานย่อมมีผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา ครั้งนี้ทำการค้าขาดทุน ก็เพราะดวงไม่ดีต่างหาก
ต่อมา ก่วนจ้งทำงานผิดพลาดอีกหลายครั้ง แต่เปาซู่หยาก็ไม่เคยคิด ว่าก่วนจ้ง
เป็นคนไม่เอาไหน
ก่วนจ้งถูกเกณฑ์ไปรบ 3 ครั้ง และหนีกลับมาบ้านทั้ง 3 ครั้ง ชาวบ้านพากันเยาะเย้ยเขาว่าขี้ขลาดตาขาว แต่เปาซู่หยากลับไม่คิดอย่างชาวบ้าน เขาเห็นว่าก่วนจ้งจำเป็นต้องหนีกลับบ้านเพราะว่าที่บ้านมีแม่แก่ ๆ ที่ต้องเลี้ยงดู ถ้าหากเขาต้องตายไปในสนามรบ ใครเล่าจะดูแลมารดาของเขา
ก่วนจ้งเอาเปรียบเปาซู่หยาสารพัด แต่ทำไมเปาซู่หยายังคงเชื่อมั่น ในตัวก่วนจ้งเช่นนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่าเปาซู่หยาสนิทกับก่วนจ้งมาก เขารู้ตัวดีว่าก่วนจ้งไม่ใช่คนธรรมดา ในอนาคตเขาจะต้องเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
ต่อมา ก่วนจ้งได้ทำงานรับใช้กงจื่อจิ่ว พระโอรสองค์โตของท่านอ๋องฉีเซียงกง
ส่วนเปาซู่หยาก็ทำงานรับใช้กงจื่อเสี่ยวไป๋ พระโอรสองค์เล็กของท่านอ๋องฉีเซียงกง
ภายหลัง ท่านอ่องฉีเซียงกงถูกพระอนุชาลอบปลงพระชนน์ จึงเกิดศึกชิงบัลลังก์
กงจื่อจิ่วกับกงจื่อเสี่ยวไป๋กลายเป็นปรปักษ์ต่อกัน ในที่สุด กงจื่อเสี่ยวไป๋ก็ได้ขึ้นครองราชย์
ต่อจากบิดา ทรงพระนามว่า ฉีหวนกง ( หนึ่งใน 5 อ๋องผู้ขิ่งใหญ่แห่งยุคชุนชิว )
กงจื่อจิ่วผู้พ่ายแพ้ในศึกชิงบัลลังก์ถูกประหารชีวิต ในขณะหลบนี้ ก่วนถูกจับกุม เขาเคยยิงเกาทัณฑ์หมายปลิดชีพยิง กงจื่อเสี่ยวไป๋ เมื่อถูกจับกุมเช่นนี้ เขาจึงกลายเป็นนักโทษประหารอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เปาซู่หยาพยายามเกลี้ยกล่อมจนยอมยกโทษให้ก่วนจ้ง ทรงดำริว่า ไม่ประหารเขาก็ได้ ถ้าหากก่วนจ้งทำเรื่องไม่ดีไม่งามเมื่อไร ค่อยสั่งประหารก็แล้วกัน
ในที่สุด นักโทษประหารอย่างก่วนจ้งก็พลิกฐานะวูบเดียวขึ้นมาเป็นคนสนิทของท่านอ๋อง และค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งอัครเสนาบดี
คนเราจะใจกว้างได้ก็ต่อเมื่อหมดห่วงเรื่องปากเรื่องท้อง เมื่ออยู่ดีกินดี ย่อมมีธรรมเนียม และรู้จักมารยาท
เนื่องจากเคยยากจนมาก่อน ดังนั้น ก่วนจ้งจึงเสนอว่า ต้องสร้างเศรษฐกิจให้มั่นคงเสียก่อน จึงจะสร้างชาติที่มีอารยธรรมขึ้นมาได้
และด้วยนโยบายดังกล่าว ก่วนจ้งก็สามารถสร้างแคว้นฉีให้เป็นอภิมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในยุคชุนชิว ช่วยให้ท่านอ๋องฉีหวนกงผงาดกายขึ้นมาเป็นเจ้าอ๋อง
แต่ถ้าไม่มีเปาซู่หยาแล้วไซร้ ใครเล่าจะรู้ค่าเพชรในโคลนตมอย่างก่วนจ้ง หากไม่มีเปาซู่
หยาคอยชื่นชม คอยสนับสนุน ก่วนจ้งก็ไม่มีวันเงยหน้าอ้าปากได้ และแคว้นฉีก็ไม่มีวันรุ่งเรืองจนได้เป็นอภิมหาอำนาจแห่งยุคชุนชิว
สรุป
ผู้นำจะต้องมองคนออกใช้คนเป็น รู้จักบ่มเพาะและสร้างเงื่อนไขให้ลูกน้องพัฒนาศักยภาพแฝงเร้นในตัวอย่างเต็มที่
ในการประเมินความสามารถของบุคคลหรือกลุ่มองค์กรนั้น เราควรจะตรวจสอบของแต่ละคนอย่างละเอียด พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา เข้าใจเขา เพื่อใคร่ครวญว่าทำไมเขาจึงมีการแสดงออกเช่นนั้น แล้วเราก็จะทราบเหตุผลที่แท้จริง แต่ถ้าหากเราด่วนสรุปคนจากการแสดงออกอย่างผิวเผินด้านเดียว ก็จะทำให้เราประเมินความสามารถของคนผิด ๆ เสมอ และเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่สามารถพัฒนาศักยภาพแฝงเร้นอย่างเต็มที่ ทำให้หน่วยงานของเราหาคนดีมีความสามารถไม่ค่อยได้
บางครั้ง เราอาจไม่ต้องสนใจเลยว่า ปัจจุบันนี้ คนผู้นี้สามารถทำอไรได้บ้าง เหมือนอย่างเปาซู่หยา เขาไม่ได้ใส่ใจต่อจุดอ่อน ข้อบกพรองของก่วนจ้ง แต่มีความทนทานในการเฝ้าดูก่วนจ้งแสดงจุดเด่น เขาพยายามสนับสนุนและส่งเสริมก่วนจ้ง จนกระทั่งในสุดก่วนจ้งก็ได้ดิบได้ดี สามารถใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่มาพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง
*******************************************************************
แหล่งอ้างอิง
รัฐยา สารธรรม. หลักคิดสู่ความเป็นผู้นำ. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2550. 248 หน้า.
อันนี้ก็ดีคับ ชอบเรื่องเล่ามีการเปรียบเทียบ
ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร ทำงานแทบตาย ก็ไม่เห็นเข้าตา
เห็นด้วย ขอสนับสนุนความคิดดี ดี อย่างนี้
เห็นด้วยนะคะการทำงานร่วมกัน สิ่งสำคัญคือ "การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากคะ"
ทำงานมากก็ต้องได้รับคำติมาก คนไม่โดนตำหนิเลคือคนที่ไม่ทำงานจำไว้น้อย จงปลูกผักต่อไป...ผักแคะ