เจตคติ
ความหมายของเจตคติ
เจตคติหรือทัศนคติ เป็นความรู้สึกเชื่อ ศรัทธาต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนเกิดความพร้อมที่จะแสดงการกระทำออกมา ซึ่งอาจจะไปในทางดีหรือไม่ดีก็ได้ เจตคติยังไม่เป็นพฤติกรรมแต่เป็นตัวการที่จะทำให้เกิดพฤติกรรม ดังนั้น เจตคติจึงเป็นคุณลักษณะของความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ
ประโยชน์ของเจตคติ
1. เจตคติเป็นคำย่อของการอธิบายความรู้สึกยาว ๆ คลุมพฤติกรรมต่าง ๆ ได้มาก
2. เจตคติใช้พิจารณาเหตุของพฤติกรรมของบุคคลที่มีต่อสิ่งอื่นหรือมีต่อเป้าเจตคติของคน ๆ นั้น
3. เจตคติสามารถมองสังคมได้
4. เจตคติมีความดีงานในตัวของมันเอง
5. เจตคติเกิดจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม จึงต้องศึกษาสัญชาติญาณและปรับสิ่งแวดล้อม
6. เจตคติเป็นศูนย์ความคิดเห็นและเป็นฐานของพฤติกรรมสังคม
วิธีศึกษาเจตคติ Oskamp ได้สรุปไว้ที่ใช้ได้ผลดีมีอยู่ 5 วิธี ดังนี้
1. ศึกษาโดยวิธีการพรรณนา สามารถศึกษากลุ่มเดี่ยว ๆ ได้และควรเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ เช่น กลุ่มเด็กปัญญาอ่อน เด็กหนีโรงเรียน
2. ศึกษาโดยวิธีการวัด (Measurement) วิธีการวัดที่ถือว่าเป็นแบบมาตรฐานคือวิธีของ เทอร์สโตน ลิเคอร์ท กัตแมน และออสกูด
3. ศึกษาโดยวิธีโหวตเสียง เพื่อแสวงหาความคิดเห็นของประชาชนแต่ขณะเดียวกันสามารถศึกษาเจตคติได้ด้วย
4. ศึกษาโดยวิธีทางทฤษฎี (Theories)
5. ศึกษาโดยวิธีการทดลอง (Experiments) เป็นการจัดกระทำกับสถานการณ์หนึ่งโดยทั่วไปจะมีตัวแปรควบคุมให้มีสภาพเหมือนเดิมกับตัวแปรทดลองที่จัดกระทำอะไรบางประการแล้วนำมาเปรียบเทียบกันดูว่าจะมีผลอะไรเกิดขึ้นจากตัวแปรทดลองหรือไม่
มิติของเจตคติจากแนวความคิดของนักจิตวิทยา มีลักษณะดังนี้ (ซึ่งรวบรวมโดย ชอว์และไรท์)
1. เจตคติขึ้นอยู่กับการประเทินมโนภาพของเจตคติ แล้วเกิดเป็นพฤติกรรมแรงจูงใจ แต่ถ้าแสดงออกเป็นพฤติกรรมแล้วจะเป็นลักษณะ 4 กลุ่ม คือ
· Positive-approach เช่น ความเป็นเพื่อน ความรัก
· Negative-approach เช่น การโจมตี ด่าว่า ต่อสู้
· Negative-avoidance เช่น ความกลัว ความเกลียด
· Positive-avoidance เป็นลักษณะเจตคติดีทางบวก แต่ก็อยากจะหลบหลีก เช่น การปล่อยให้เขาอยู่เงียบ ๆ เมื่อเขามีทุกข์
2. เจตคติเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นตามแนวของทิศทาง คือเป็นการแสดงความรู้สึกว่าไปทางบวกมาก
หรือน้อย ไปทางลบมากหรือน้อย
1. เจตคติเกิดจากการเรียนรู้มากกว่ามีมาเองแต่กำเนิด
2. เจตคติขึ้นอยู่กับเป้าเจตคติหรือกลุ่มสิ่งเร้าเฉพาะอย่าง
3. เจตคติที่มีค่าสหพันธ์ภายในเปลี่ยนแปลงไปตามกลุ่ม
4. เจตคติมีลักษณะมั่นคงและทนทานเปลี่ยนแปลงยาก
แนวคิดของเซกส์ มองคุณลักษณะของเจตคติแปรเปลี่ยนไป 5 ประการดังนี้
1. มีทิศทาง (direction) เจตคติมีทิศทาง เพราะความรู้สึกของคนที่มีต่อเป้าเจตคติเป็นบวกหรือลบ
2. มีความเข้มข้น (Intensity) เจตคติเป็นความรู้สึกต่อเนื่องตั้งแต่บวกถึงลบ
3. มีการแผ่ซ่าน (Pervasiveness) เจตคติมีลักษณะแพร่กระจายหรือแผ่ซ่านจากกลุ่มหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มหนึ่งได้
4. มีความคงเส้นคงวา (consistency) เจตคติเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงง่าย ๆ เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างคงที่
5. มีความพร้อมที่จะแสดงออกเด่นชัด
องค์ประกอบของเจตคติ ปัจจุบันมีความคิดเห็นแตกต่างกันอยู่ 3 กลุ่มคือ
1. เจตคติมีองค์ประกอบเดียว เทอร์สโตน แอลพอร์ต กลุ่มนี้จะมองเจตคติเกิดจากการประเมินเป้าของเจตคติว่ารู้สึกขอบหรือไม่ชอบ
2. เจตคติมีสององค์ประกอบ แคทซ์ กลุ่มนี้ จะมองเจตคติจากด้านสติปัญญาและด้านความรู้สึก
3. เจตคติมีสามองค์ประกอบ ได้แก่
- ด้านสติปัญญา
- ด้านความรู้สึก
- ด้านพฤติกรรม
เครื่องมือในการวัดเจตคติ ที่นิยมใช้กันมีอยู่ 5 ชนิดคือ
1. สัมภาษณ์ (Interview) หมายถึง การพูดคุยกันอย่างมีจุดมุ่งหมาย ซึ่งการสัมภาษณ์มีทั้งแบบมาตรฐานและแบบไม่มาตรฐาน ลักษณะของการสัมภาษณ์ที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
· การสัมภาษณ์ต้องเป็นการยั่วยุหรือกระตุ้นให้ผู้ถูกสัมภาษณ์อยากจะตอบและให้คำตอบที่คงที่พอควร
· คำถามที่ถามพยายามถามให้ตรงจุดที่สุด
· คำถามควรมีความเชื่อมั่นสูง
· คำถามที่ใช้สัมภาษณ์ควรจะได้คำตอบที่สามารถนำไปขยายอิงสู่เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันได้
2. การสังเกต (Observation) คือการเฝ้ามองดูสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างมีจุดมุ่งหมาย
3. การรายงานตนเอง (Self-Report) ต้องให้ผู้ถูกสอบแสดงความรู้สึกของตนเองตามสิ่งเร้าที่เขาได้สัมผัส นั่นคือสิ่งเร้าที่เป็นข้อความ ข้อคำถาม หรือเป็นภาพเพื่อให้ผู้สอบแสดงความรู้สึกออกมาอย่างตรงไปตรงมานั่นเอง
4. เทคนิคการจินตนาการ (Projective Techniques) แบบนี้อาศัยสถานการณ์หลายอย่างไปเร้าผู้สอบ สถานการณ์ที่กำหนดให้จะไม่มีโครงสร้างที่แน่นอนทำให้ผู้สอบจะต้องจินตนาการออกมาตามแต่ประสบการณ์เดิมของตน แต่ละคนจะแสดงออกมาไม่เหมือนกัน
5. การวัดทางสรีระภาพ (Physiological measurement) อาศัยเครื่องมือไฟฟ้าหรือเครื่องมืออื่น ๆ ในการสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของร่างกาย
ไม่มีความเห็น