วัดประเดิม ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๓ ตอนที่ ๓๔ วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๙
สวัสดีค่ะ
พบกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร กันอีกแล้วนะคะ
วันนี้เรามีเรื่องราวดีๆ ของจังหวัดชุมพรมาฝากเพื่อนๆ
เหมือนเคยค่ะ
จำได้ว่าเราเคยนำเสนอเรื่องโบราณสถานสำคัญในจังหวัดชุมพรไปแล้ว
ในตอนวัดพระธาตุสวี
วันนี้เรามาติดตามเรื่องโบราณสถานสำคัญในจังหวัดชุมพรกันต่อนะคะ
เพื่อนๆ
ทราบไหมค่ะว่าวัดเก่าแก่และมีความสำคัญกับความเป็นมาของเมืองชุมพร
คือวัดอะไร ใครที่เป็นคนชุมพรคงพอจะตอบได้นะคะ
แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่ใช่คนชุมพรอาจจะไม่ทราบ
ไม่เป็นไรค่ะเพราะเพื่อนๆ
สามารถหาคำตอบได้ที่นี่และตอนนี้เลยค่ะ
มาทำความรู้จักกับวัดประเดิมพร้อมๆ
กับเราเลยนะคะ
วัดประเดิม

ที่ตั้ง หมู่
๒ ตำบลตากแดด อำเภอชุมพร
จังหวัดชุมพร
ประวัติ / ตำนาน
เชื่อกันว่า เมืองเดิมของจังหวัดชุมพร ตั้งอยู่บริเวณวัดประเดิม
ฝั่งซ้ายของแม่น้ำชุมพรที่ตำบลตากแดด
ต่อมาย้ายไปตั้งเมืองใหม่ที่ตำบลท่ายาง และที่ตำบลท่าตะเภาตามลำดับ
เหตุที่ย้ายเมืองบ่อยครั้งอาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นเพราะการเปลี่ยนทางเดินของแม่น้ำท่าตะเภา
และแม่น้ำชุมพร หรือ
อาจเป็นเพราะเมืองชุมพรเป็นเมืองหน้าด่านในการทำศึกสงคราม
จึงไม่สามารถสร้างบ้านเมืองถาวรได้ สำหรับชื่อ
วัดประเดิม นั้น เล่ากันว่า
น่าจะมาจากการเป็นวัดแรกในบริเวณนี้ และเป็นวัดประจำเมืองชุมพรเก่า
เชื่อกันว่าพระปรางค์เดิมมีรูปแบบศิลปะแบบศรีวิชัย
แต่ไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันที่แน่นอน
ในสมัยก่อนน่าจะมีโบราณวัตถุชนิดต่างๆ อยู่ในวัดมากพอสมควร
แต่ได้ชำรุดหักพังไปตามกาลเวลาและจากภัยสงคราม
ในปัจจุบันยังปรากฏโบราณวัตถุที่ทางวัดเก็บรักษาไว้ เช่น
ใบเสมาหินทราย เศียรพระพุทธรูปหินทราย
และเศียรพระพุทธรูปปูนปั้นประมาณ ๒๐ ชิ้น
มีรูปแบบศิลปะแบบสมัยอยุธยา เป็นต้น
จากหลักฐานที่กล่าวข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่าวัดประเดิม
คงเป็นวัดที่มีความสำคัญและเจริญมากในอดีตแห่งหนึ่งในจังหวัดชุมพร
สิ่งสำคัญภายในวัด
๑. พระปรางค์ (บูรณะแล้ว)
ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำฐานเป็นบัวลดหลั่นกันขึ้นไป
รูปทรงชลูด เรือนธาตุมีขนาดเล็ก มีระเบียงคตล้อมรอบพระปรางค์
ระหว่างระเบียงคตกับพระปรางค์เป็นลานประทักษิณ
รูปแบบศิลปกรรมดั้งเดิมของพระปรางค์องค์นี้ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเป็นแบบใด
แต่จากรูปแบบโบราณวัตถุต่างๆ ที่พบในวัด เช่น เศียรพระพุทธรูปหินทราย
และใบเสมาหินทราย
อาจสันนิษฐานได้ว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา

๒. เจดีย์รายขนาดเล็ก ๑ องค์
เป็นเจดีย์ทรงกลมตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม สภาพทรุดโทรม
มีผู้เล่าว่าเดิมเจดีย์รายรอบวัดมีหลายองค์แต่ปัจจุบันเหลือเพียงองค์เดียวเท่านั้น
๓.อาคารโรงเรียนพระปริยัติธรรม
เป็นอาคารสถาปัตยกรรมท้องถิ่น สร้างขึ้นระหว่าง ปี พ.ศ.๒๔๗๓ - ๒๔๘๐
เป็นอาคารไม้แบบเรือนปั้นหยา ยอดจั่ว ชายคาตกแต่งด้วยไม้ฉลุ
และกลึงลวดลายแบบพื้นเมือง อาคารนี้แบ่งเป็น ๒ ห้อง
โดยมีชานเป็นส่วนเชื่อมต่อ ระเบียงจะอยู่ลดระดับต่ำจากชานประมาณ ๓๐
เซนติเมตร ปัจจุบันส่วนระเบียงมีการซ่อมแซมโดยทำเป็นพื้นคอนกรีต
และเสาคอนกรีตที่ยกพื้นทำให้อาคารนี้เป็นเรือนใต้ถุนโปร่ง
(ตัวอย่างของอาคารสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นแบบนี้ ปัจจุบันพบน้อยมาก
เนื่องจากได้รับความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่นเกย์ เมื่อ ปี
พ.ศ.๒๕๓๒)
วัดประเดิม
ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ
ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๓ ตอนที่
๓๔ วันที่ ๒๗ กันยายน
พ.ศ.๒๔๗๙
เป็นอย่างไรบ้างคะ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ชุมพร หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเพื่อนๆ
คงได้รับความรู้เกี่ยวกับโบราณสถานสำคัญในจังหวัดชุมพรเพิ่มขึ้นนะคะ
แล้วพบกันใหม่ในคราวต่อไปค่ะ
เอกสารอ้างอิง
-
สำนักงานโบราณดคีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่ ๑๑
นครศรีธรรมราช.โบราณสถานจังหวัดชุมพร.
เอกสารประกอบการอบรมทบทวนอาสาสมัครท้องถิ่นในการดูแลรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรม
(อส.มส.) จังหวัดชุมพร วันที่ ๔
สิงหาคม ๒๕๔๑ ณ
ห้องประชุมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร
(เอกสารอัดสำเนา)
พิพิธภัณฑ์
เขียนเมื่อ 21 พฤษภาคม 2006 09:22 น. ()
ขอบคุณค่ะที่ติดตาม Blog ของพิพิธภัณฑ์ฯ ชุมพรมาตลอด
สำหรับเรื่องร่องรอยของชุมชนบริเวณวัดประเดิมนั้นยังไม่มีหลักฐานจากการขุดค้นทางโบราณคดีตามหลักวิชาการ
เนื่องจากในจังหวัดชุมพรมีการขุดค้นทางโบราณคดีโดยกรมศิลปากรที่แหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว
สำหรับแหล่งอื่นๆ เป็นการสำรวจเพื่อเก็บข้อมูลเท่านั้น
แต่จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในวัดประเดิม เช่น
ใบเสมา และเศียรพระพุทธรูป
ซึ่งมีลักษณะเป็นศิลปะอยุธยาดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น อาจพอสันนิษฐานได้ว่า
วัดประเดิมคงมีขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา
และรอบๆ
บริเวณวัดประเดิมนั้นคงมีชุมชนอยู่อย่างแน่นอน นอกจากวัดประเดิมแล้วในบริเวณนี้ยังมีวัดอื่นๆ
อีก เช่น วัดนอก วัดพระขวาง เป็นต้น
แต่ถ้าหากต้องการข้อมูลเรื่องร่องรอยชุมชนอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการก็จะต้องทำการขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อดูลักษณะชั้นวัฒนธรรมและการประกอบกิจกรรมต่างๆ
ในบริเวณนั้น
แต่ข้อจำกัดในเรื่องนี้อาจจะอยู่ที่เมืองชุมพร
ไม่มีลักษณะการเป็นเมืองที่ชัดเจนเหมือนเมืองนครศรีธรรมราช หรือไชยา
ที่ปรากฏกำแพงเมือง ประตูเมืองหรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ดังที่
สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ได้ทรงวิจารณ์เกี่ยวกับเมืองชุมพรว่า
มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากหัวเมืองภาคใต้อื่นๆ ในประชุมพงศาวดารภาคที่
๕๐ (ตำนานเมืองระนอง) ว่า
“…ในบรรดาหัวเมืองทางแหลมมลายูที่ตั้งมาแต่โบราณ
เมืองชุมพรประหลาดผิดกับเพื่อนอยู่อย่างหนึ่ง
ที่ไม่มีตัวเมืองเหมือนเมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราช เมืองพัทลุง
เมืองสงขลา เมืองปัตตานี และเมืองถลาง เมืองตะกั่วทุ่งทางฝั่งตะวันตก
ล้วนมีโบราณวัตถุรู้ได้ว่า เป็นเมืองมาแต่โบราณ
แต่ส่วนเมืองชุมพรข้าพเจ้าผู้แต่งหนังสือนี้
(สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ)ได้เข้าค้นหาหนักแล้ว
ยังมิได้พบโบราณวัตถุเป็นสำคัญ บางที่จะเป็นด้วยเหตุ ๒ อย่าง คือ
มีที่ทำนาไม่พอคนมากอย่าง ๑ อีกอย่าง ๑ อยู่ตรงคอแหลมมลายู
มักเป็นสมรภูมิรบพุ่งกันตรงนั้นจึงไม่สามารถสร้างบ้านเมือง
แต่ต้องรักษาเป็นเมืองด่าน…”
และข้อสันนิษฐานเรื่องที่ตั้งเมืองเดิมของชุมพรนั้นยังมีอีกหลายแห่งค่ะ
อาจกล่าวได้กว้างๆ
ว่าชุมชนที่เกิดขึ้นในจังหวัดชุมพรมีกระจายทั่วไป
และมีระยะเวลาใกล้เคียงกัน
โดยผลัดเปลี่ยนกันมีความสำคัญขึ้นในแต่ละช่วง
ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ ประการค่ะ
kkk
เขียนเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2018 17:06 น. ()
๒. ฝั่งตะวันออก พื้นที่ฝั่งตะวันออกเป็นที่ราบลดระดับและมีแผ่นดินงอก เนื่องจากมีสันเขาเป็นต้นทางของแม่น้ำสายสั้นๆ และมีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ (ตุลาคม - มกราคม) ทำให้มีฝนตกมากเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ ไหลลงสู่แม่น้ำใหญ่ทำให้เกิดสันทราย ซึ่งเป็นบริเวณที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานและการเพาะปลูก จึงมีการตั้งชุมชนอยู่บริเวณตีนภูเขา (ห่างจากทะเลประมาณ ๒๐ - ๓๐ กิโลเมตร) และบริเวณที่ราบริมฝั่งทะเล แหล่งโบราณคดีมีดังนี้
๒.๑ เขาสามแก้ว ตำบลนาชะอัง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร พบโบราณวัตถุจากอินเดีย เช่น ลูกปัดหินคาร์เนเลี่ยนและอาเกต แบบเรียบและแบบฝังสี และด้ามทัพพีสำริดรูปนกยูง
๒.๒ เขาศรีวิชัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบเทวรูปพระนารายณ์และศาสนสถาน ๘ แห่ง ซึ่งแสดงถึงความรุ่งเรื่องของศาสนาพราหมณ์ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
๒.๓ วัดอัมพาวาส อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบโบราณวัตถุจากอินเดียประเภทลูกปัดหินคาร์เนเลี่ยนและอาเกต
๒.๔ แหลมโพธิ์ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดจากแผ่นดินใหญ่ที่มีคลองพุมเรียงไหลผ่าน พบโบราณวัตถุที่เป็นสินค้าต่างชาติจากอินเดีย จีน และอาหรับ จากการขุดตรวจทางโบราณคดี (ประมาณ พ.ศ.๒๕๒๒ - ๒๕๒๔ )โดยกรมศิลปากร ได้พบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๕)
๒.๕ ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นที่ตั้งของโบราณ มีการขุดค้นทางโบราณคดี (ประมาณ พ.ศ.๒๕๒๒ -๒๕๒๔ ) โดยกรมศิลปากร บริเวณสันทรายพบว่ามีวัฒนธรรมเดียว (ชั้นดินลึกประมาณ ๑๐๐ เซนติเมตร) มีอายุไม่เก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ ๑๖ นอกจากนั้นยังได้ขุดตรวจบริเวณวัดหลง และได้พบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง (พุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๒) ส่วนหลักฐานด้านศิลปกรรมเนื่องในศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธนั้นได้พบเป็นจำนวนมาก
ยังมีเพิ่ม
2.5 เมืองโบราณ เวียงสระ
๑.เทวรูปพระวิษณุ พบจำนวน ๒ องค์ ได้แก่
๑.๑ พระวิษณุ ศิลา สกุลช่างปัลลวะ สูง ๑๔๘ เซนติเมตร อายยุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ พระวรกายแสดงกล้ามเนื้อใกล้เคียงธรรมชาติ พระนาภีแอ่นขึ้นและพระปฤษภางค์เว้าเข้าแสดงให้เห็นลมปราณของโยคี พระเนตรเบิก พระโอษฐ์แย้ม ทรงสวมกีรีฏิมกุฏข้างบนผายออกทรงภูษายาวกรอมข้อพระบาทขมวดเป็นปมใต้พระนาภี และคาดผ้าคาดพระโสณีตามแนวนอนพระหัตถ์ขวาอาจทรงถือภู (ก้อนดิน) พระหัตถ์ซ้ายทรงถือคฑาแนบพระองค์ ปัจจุบันอยู่ทิ่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เทวรูปองค์นี้คล้ายกับชิ้นส่วนเทวรูปพระวิษณุที่พบที่เขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน และพระวิษณุที่อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี
๑.๒ พระวิษณุ ศิลา สกุลช่างโจฬะ สูง ๕๓ เซนติเมตร อายุประมาณครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ประติมากรรม พระหัตถ์ขวาหลังทรงถือสงข์พระหัตถ์ซ้ายหลังทรงถือจักรโดยวางบนพระดัชนี ด้านหลังพระหัตถ์และพระเศียรเชื่อมด้วยแผ่นศิลา พระหัตถ์ขวาทรงแสดงปางประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายหน้าวางไว้ที่พระโสภี ทรงพระภูษาโจงสั้น สวมกีรีฏิมกุฏทรงสูงสอบเข้าด้านบน ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
๒.พระพุทธเจ้าศากยมุนี ศิลาสลักนูนสูง สูง ๑๖.๕๐ เซนติเมตร อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ พบโดย ดร. ควอริทซ์ เวลส์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ จากการสำรวจและขุดค้น ได้พบแนวอิฐซึ่งน่าจะฐานศาสนสถานกลางเมืองเวียงสระ ลักษณะประทับยืนท่าตริภังค์ ( เอียงสะโพก) ครองจีวรห่มคลุมบางแนบพระวรกาย พระหัตถ์ขวาแสดงปางประทานพร พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับประติมากรรมในศิลปะสมัยคุปตะ สกุลช่างสารนาถ อาจนำเข้ามาจากประเทศอินเดีย อย่างไรก็ตาม วัสดุหินทรายสีแดงเป็นวัสดุที่หาง่ายในแถบเมืองเวียงสระ ไชยาและพุนพิน จังหวัดสุราษฏร์ธานี พระพุทธรูปองค์นี้ยังคล้ายคลึงกับพระพิมพ์ดินดิบที่ถ้ำเขาขนาบน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณพสถานแห่งชาติ พระนคร
๓.พระศิวะไภรวะ เป็นประติมากรรมนูนสูงทำด้วยหินทรายรูปพระศิวะปางดุร้าย สูงประมาณ ๕๑.๕๐ เซนติเมตร อยู่ในลักษณะเปลือย มีสุนัขเป็นพาหนะเห็นส่วนหางอยู่ทางด้านหลัง พระเกศาเป็นขมวดส่วนบนและสยายเป็นเปลวไฟ มีสายกระดิ่งห้อยยาวเกือบจรดข้อพระบาท (น่าจะเป็นพวงมาลัยร้อยด้วยกระดูกหรือกระโหลกศีรษะมนุษย์) ทรงรัดประคดเป็นรูปคล้ายงู มี ๔ กร พระหัตถ์ซ้ายหนาทรงถือ ถ้วยทำจากกระโหลกศีรษะ พระหัตถ์ขวาหน้าทรงเชือก พระหัตถ์ซ้ายหลังทรงตรีศูล และพระหัตถ์ขวาหลังทรงบัณเฑาะว์ (กลอง) อิทธิพลศิลปะอินเดียสกุลช่างโจฬะตอนต้น อายุพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
๔. เทพีอุ้มโอรส ทำด้วยดินเผา สูง ๒๒ เซนติเมตร กำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ คล้ายเทพีอุ้มโอรสที่เกาะคอเขา อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา
๕.ฐานรูปเคารพ ทำด้วยหินทรายแดง สูง ๕๐ เซนติเมตร กว้างยาวด้านละ ๔๕ เซนติเมตร ด้านบนมีรางน้ำมนต์ ด้านข้างมีการแกะสลักลวดลายเป็นชั้น ๆ อย่างสวยงาม
๖.พระพุทธรูปหินทรายแดง พบเป็นกลุ่มตั้งกระจัดกระจายเรียงรายอยู่บริเวณทางด้านทิศเหนือของอุโบสถเก่าและบริเวณโบราณสถานภายในเมืองเวียงสระ พระพุทธรูปส่วนใหญ่อยู่ในสภาพชำรุด มีตะไคร่น้ำจับทั่วไป ลักษณะทางพุทธศิลป์เป็นศิลปะสมัยอยุธยา พระพักตร์รูปไข่พระเนตรโปนเหลือบต่ำ ขมวดพระเกศาเล็กและไม่มีไรพระศก ครองจีวรห่มเฉียง สังฆาฏิยาวถึงพระนาภี ส่วนปลายตรง ประทับนั่งปางสมาธิและปางมารวิชัย
kkk
เขียนเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2018 17:06 น. ()
๒. ฝั่งตะวันออก พื้นที่ฝั่งตะวันออกเป็นที่ราบลดระดับและมีแผ่นดินงอก เนื่องจากมีสันเขาเป็นต้นทางของแม่น้ำสายสั้นๆ และมีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ (ตุลาคม - มกราคม) ทำให้มีฝนตกมากเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ ไหลลงสู่แม่น้ำใหญ่ทำให้เกิดสันทราย ซึ่งเป็นบริเวณที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานและการเพาะปลูก จึงมีการตั้งชุมชนอยู่บริเวณตีนภูเขา (ห่างจากทะเลประมาณ ๒๐ - ๓๐ กิโลเมตร) และบริเวณที่ราบริมฝั่งทะเล แหล่งโบราณคดีมีดังนี้
๒.๑ เขาสามแก้ว ตำบลนาชะอัง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร พบโบราณวัตถุจากอินเดีย เช่น ลูกปัดหินคาร์เนเลี่ยนและอาเกต แบบเรียบและแบบฝังสี และด้ามทัพพีสำริดรูปนกยูง
๒.๒ เขาศรีวิชัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบเทวรูปพระนารายณ์และศาสนสถาน ๘ แห่ง ซึ่งแสดงถึงความรุ่งเรื่องของศาสนาพราหมณ์ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
๒.๓ วัดอัมพาวาส อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบโบราณวัตถุจากอินเดียประเภทลูกปัดหินคาร์เนเลี่ยนและอาเกต
๒.๔ แหลมโพธิ์ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดจากแผ่นดินใหญ่ที่มีคลองพุมเรียงไหลผ่าน พบโบราณวัตถุที่เป็นสินค้าต่างชาติจากอินเดีย จีน และอาหรับ จากการขุดตรวจทางโบราณคดี (ประมาณ พ.ศ.๒๕๒๒ - ๒๕๒๔ )โดยกรมศิลปากร ได้พบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๕)
๒.๕ ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นที่ตั้งของโบราณ มีการขุดค้นทางโบราณคดี (ประมาณ พ.ศ.๒๕๒๒ -๒๕๒๔ ) โดยกรมศิลปากร บริเวณสันทรายพบว่ามีวัฒนธรรมเดียว (ชั้นดินลึกประมาณ ๑๐๐ เซนติเมตร) มีอายุไม่เก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ ๑๖ นอกจากนั้นยังได้ขุดตรวจบริเวณวัดหลง และได้พบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง (พุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๒) ส่วนหลักฐานด้านศิลปกรรมเนื่องในศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธนั้นได้พบเป็นจำนวนมาก
ยังมีเพิ่ม
2.5 เมืองโบราณ เวียงสระ
๑.เทวรูปพระวิษณุ พบจำนวน ๒ องค์ ได้แก่
๑.๑ พระวิษณุ ศิลา สกุลช่างปัลลวะ สูง ๑๔๘ เซนติเมตร อายยุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ พระวรกายแสดงกล้ามเนื้อใกล้เคียงธรรมชาติ พระนาภีแอ่นขึ้นและพระปฤษภางค์เว้าเข้าแสดงให้เห็นลมปราณของโยคี พระเนตรเบิก พระโอษฐ์แย้ม ทรงสวมกีรีฏิมกุฏข้างบนผายออกทรงภูษายาวกรอมข้อพระบาทขมวดเป็นปมใต้พระนาภี และคาดผ้าคาดพระโสณีตามแนวนอนพระหัตถ์ขวาอาจทรงถือภู (ก้อนดิน) พระหัตถ์ซ้ายทรงถือคฑาแนบพระองค์ ปัจจุบันอยู่ทิ่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เทวรูปองค์นี้คล้ายกับชิ้นส่วนเทวรูปพระวิษณุที่พบที่เขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน และพระวิษณุที่อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี
๑.๒ พระวิษณุ ศิลา สกุลช่างโจฬะ สูง ๕๓ เซนติเมตร อายุประมาณครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ประติมากรรม พระหัตถ์ขวาหลังทรงถือสงข์พระหัตถ์ซ้ายหลังทรงถือจักรโดยวางบนพระดัชนี ด้านหลังพระหัตถ์และพระเศียรเชื่อมด้วยแผ่นศิลา พระหัตถ์ขวาทรงแสดงปางประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายหน้าวางไว้ที่พระโสภี ทรงพระภูษาโจงสั้น สวมกีรีฏิมกุฏทรงสูงสอบเข้าด้านบน ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
๒.พระพุทธเจ้าศากยมุนี ศิลาสลักนูนสูง สูง ๑๖.๕๐ เซนติเมตร อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ พบโดย ดร. ควอริทซ์ เวลส์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ จากการสำรวจและขุดค้น ได้พบแนวอิฐซึ่งน่าจะฐานศาสนสถานกลางเมืองเวียงสระ ลักษณะประทับยืนท่าตริภังค์ ( เอียงสะโพก) ครองจีวรห่มคลุมบางแนบพระวรกาย พระหัตถ์ขวาแสดงปางประทานพร พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับประติมากรรมในศิลปะสมัยคุปตะ สกุลช่างสารนาถ อาจนำเข้ามาจากประเทศอินเดีย อย่างไรก็ตาม วัสดุหินทรายสีแดงเป็นวัสดุที่หาง่ายในแถบเมืองเวียงสระ ไชยาและพุนพิน จังหวัดสุราษฏร์ธานี พระพุทธรูปองค์นี้ยังคล้ายคลึงกับพระพิมพ์ดินดิบที่ถ้ำเขาขนาบน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณพสถานแห่งชาติ พระนคร
๓.พระศิวะไภรวะ เป็นประติมากรรมนูนสูงทำด้วยหินทรายรูปพระศิวะปางดุร้าย สูงประมาณ ๕๑.๕๐ เซนติเมตร อยู่ในลักษณะเปลือย มีสุนัขเป็นพาหนะเห็นส่วนหางอยู่ทางด้านหลัง พระเกศาเป็นขมวดส่วนบนและสยายเป็นเปลวไฟ มีสายกระดิ่งห้อยยาวเกือบจรดข้อพระบาท (น่าจะเป็นพวงมาลัยร้อยด้วยกระดูกหรือกระโหลกศีรษะมนุษย์) ทรงรัดประคดเป็นรูปคล้ายงู มี ๔ กร พระหัตถ์ซ้ายหนาทรงถือ ถ้วยทำจากกระโหลกศีรษะ พระหัตถ์ขวาหน้าทรงเชือก พระหัตถ์ซ้ายหลังทรงตรีศูล และพระหัตถ์ขวาหลังทรงบัณเฑาะว์ (กลอง) อิทธิพลศิลปะอินเดียสกุลช่างโจฬะตอนต้น อายุพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
๔. เทพีอุ้มโอรส ทำด้วยดินเผา สูง ๒๒ เซนติเมตร กำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ คล้ายเทพีอุ้มโอรสที่เกาะคอเขา อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา
๕.ฐานรูปเคารพ ทำด้วยหินทรายแดง สูง ๕๐ เซนติเมตร กว้างยาวด้านละ ๔๕ เซนติเมตร ด้านบนมีรางน้ำมนต์ ด้านข้างมีการแกะสลักลวดลายเป็นชั้น ๆ อย่างสวยงาม
๖.พระพุทธรูปหินทรายแดง พบเป็นกลุ่มตั้งกระจัดกระจายเรียงรายอยู่บริเวณทางด้านทิศเหนือของอุโบสถเก่าและบริเวณโบราณสถานภายในเมืองเวียงสระ พระพุทธรูปส่วนใหญ่อยู่ในสภาพชำรุด มีตะไคร่น้ำจับทั่วไป ลักษณะทางพุทธศิลป์เป็นศิลปะสมัยอยุธยา พระพักตร์รูปไข่พระเนตรโปนเหลือบต่ำ ขมวดพระเกศาเล็กและไม่มีไรพระศก ครองจีวรห่มเฉียง สังฆาฏิยาวถึงพระนาภี ส่วนปลายตรง ประทับนั่งปางสมาธิและปางมารวิชัย