เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา น้องที่รับผิดชอบงานบริการยืม-คืน นำหนังสือ กองหนึ่งมาให้ดูบอกว่าหยิบออกมาจากตู้คืนหนังสือล่วงเวลา เห็นแล้วพาลนึกเลยไปยังอดีต อาจารย์ที่คณะมนุษยศาสตร์ ม.ช. เคยเล่าเรื่อง สมัยอาจารย์รับผิดชอบห้องสมุด นักศึกษาคนหนึ่งได้ส่งหนังสือมาคืนห้องสมุดหลังจากจบการศึกษาแล้ว 1 กล่อง ล้วนแล้วแต่ไม่ได้ยืมออกจากห้องสมุดอย่างถูกต้อง "ดีนะที่ยังส่งคืน" นั่นคือคำพูดของอาจารย์ที่ซ้ำกับเหตุการณ์ที่จะกล่าวถึง
หนังสือกองนั้นทั้งหมดถูกดึงเลขเรียกหนังสือซึ่งติดไว้ที่สันหนังสือและดึงบาร์โค้ดที่ติดไว้ด้านในของปกหลังออกทั้งหมดทุกเล่ม นั่นหมายความว่า ถ้าผู้ตรวจหนังสือออกไม่ระมัดระวัง หรือเป็นช่วงที่คนทะยอยออกจากห้องสมุดค่อนข้างมาก ก็จะเข้าใจได้ว่า หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือส่วนตัวของผู้ใช้บริการ (ห้องสมุด ม.น. ยังไม่มีประตูกลตรวจจับหนังสือที่ไม่ได้ถูกยืม)
สิ่งที่ต้องมานั่งทบทวนในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรง คือ ทำอย่างไรจะป้องกันเหตุการณ์นี้ไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นอีกและก็ต้องคิดถึงวิธีการอื่นๆ ที่เขาจะทำอีก โดยคิดถึงคนที่เข้ามาใช้ห้องสมุดว่าเขาคิดจะทำยังไงบ้างหากเขาคนนั้นเกิดอยากจะได้หนังสือสักเล่มหนึ่งของห้องสมุดเป็นของตนเอง
หยิบหนังสือใส่กระเป๋า แก้ด้วยการ ตรวจกระเป๋า (ทำแล้ว)
โยนหนังสือออกทางหน้าต่าง (เคยมีกรณีนี้เกิดขึ้น) แก้ด้วยการลดพื้นที่ลับตาให้มากที่สุด ทำลูกกรงตาข่ายในจุดที่มีโอกาสจะโยนหนังสือได้และมอบให้ รปภ. ตรวจตรามากขึ้น (ทำแล้ว)
เอาหนังสือเสียบหลังกางเกงและใส่เสื้อคลุมทับ แก้ด้วยการตรวจค้นตัว แต่อ่อนไหวต่อการโดนประท้วงจากคนอื่นๆ ที่ไม่มีเจตนาขโมย จึงยังไม่ได้ทำ แต่ตอนนี้คงต้องทำแล้ว ขอแค่ให้ถอดเสื้อคลุม และที่สำคัญหาประตูกลตรวจจับมาใช้แทนการตรวจค้นตัว (แต่เท่าที่ทราบจากหลายๆ มหาวิทยาลัยที่ใช้ประตูกลก็ยังคงพบหนังสือหายไปอยู่ดี)
ตรวจตราผู้ใช้ภายนอกให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการที่ไม่มีสิทธิ์ยืมหนังสือออกจากห้องสมุด ไม่แน่บางคนอาจจะอยากอ่านหนังสือบางเล่มบนเตียงนอนตอนเช้าวันเสาร์-อาทิตย์แบบที่หลายๆ คนชอบ (เหตุผลของคนอารมณ์ศิลปินไปหน่อย แต่เชื่อว่ามี ) ด้วยเหตุผลดังกล่าวอาจทำให้ศิลปินบางคนหยิบหนังสือกลับบ้านโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นอย่างดี ด้วยวิธีการแยบยลเป็นพิเศษ
เพิ่มปริมาณและเวลายืมให้มากขึ้น (อันนี้ช่วยแก้ปัญหาการขึ้นชั้นหนังสือไม่ทันและชั้นหนังสือมีปริมาณไม่เพียงพอกับจำนวนหนังสือได้ด้วย แต่ผู้ใช้บางคนอาจจะต้องรอหนังสือที่ต้องการนานหน่อย)
ความลำบากใจของผู้ทำงานให้บริการก็คือ เราต้องระวังเรื่องความรู้สึกของผู้ใช้บริการเป็นพิเศษ ดังนั้นการแก้ปัญหาต่างๆ จึงต้องพยายามลดการเผชิญหน้าแบบไม่เป็นมิตรกับเขาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะกี่ปีต่อกี่ปี เหตุการณ์เดิมๆ ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าสำรวจหนังสือทุกปี ก็จะพบว่ามีหนังสือจำนวนหนึ่งหายไปจากห้องสมุดทุกปี คงต้องแก้กันที่การสร้างจริยธรรม แต่นั่นย่อมไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ใช้เวลาสั้นๆ แน่
เลยต้องนำมาถกต่อในบล็อกว่า มีท่านไหนพอจะแนะนำวิธีการป้องกันได้บ้างน้อ