การคลังและนโยบายการคลัง
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมานักเศรษฐศาสตร์เริ่มยอมรับว่าระบบตลาดและกลไกราคาไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างเช่นกรณีที่ภาคเอกชนไม่ยอมผลิตสินค้าหรือบริการที่ไม่สามารถซื้อขายโดยตรงได้ ทั้งๆ ที่ผลผลิตนั้นอาจเป็นสิ่งที่จำเป็นหรือมีประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม หรือกรณีที่ภาคเอกชนพยายามลดต้นทุนการผลิตโดยไม่ยอมติดตั้งระบบบำบัดของเสียหรือมลพิษจากกระบวนการผลิต กรณีเหล่านี้ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจในบางด้านบางระดับ และทำให้ภาครัฐบาลมีบทบาททางเศรษฐกิจโดยผ่านการใช้จ่ายของรัฐและการจัดเก็บภาษี
การเปลี่ยนแปลงรายจ่ายรัฐบาลทำให้ความต้องการใช้จ่ายโดยรวมของระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปโดยตรง เพราะรายจ่ายรัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของความต้องการใช้จ่ายมวลรวม ส่วนการเปลี่ยนแปลงรายได้หรือการเก็บภาษีส่งผลต่อความต้องการใช้จ่ายมวลรวมทางอ้อมผ่านการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน รัฐบาลจึงอาจเพิ่มหรือลดการใช้จ่ายมวลรวมโดยผ่านการเพิ่มหรือลดรายจ่ายรัฐบาล หรือการเพิ่มหรือลดภาษีอากร ทั้งนี้เพื่อปรับระดับรายได้ประชาชาติให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ
1.1 นโยบายการคลัง (fiscal policy) คือนโยบายเกี่ยวกับการใช้รายได้และรายจ่ายของรัฐเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดแนวทาง เป้าหมาย และการดำเดินงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ การดำเนินนโยบายการคลังอาจใช้วิธีการต่างๆ อาทิ การเปลี่ยนแปลงการใช้จ่าย การเปลี่ยนแปลงแหล่งและวิธีการหารายได้ การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษี ฯลฯ
1.2 วัตถุประสงค์ของนโยบายการคลัง ที่สำคัญมี 2 ประการ ดังนี้
ประการแรก ส่งเสริมการจัดสรรทรัพยากรระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐบาลให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากประเทศต่างๆ ต้องเผชิญกับปัญหาการมีอยู่จำกัด (scarcity) ของทรัพยากรการผลิต จึงมีปัญหาว่าจะจัดสรรทรัพยากรของสังคมอย่างไร จึงจะสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดี การที่ภาครัฐบาลเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ว่าทางตรงคือรัฐบาลผลิตสินค้าและบริการด้วยตนเอง หรือทางอ้อมคือการเก็บภาษีหรือการกำหนดนโยบายต่างๆ และการดำเนินนโยบาย ล้วนแต่ทำให้รัฐบาลต้องมีค่าใช้จ่าย หากภาครัฐบาลใช้ทรัพยากรของสังคมมากขึ้น ทรัพยากรส่วนที่เหลือไว้ใช้ในภาคเอกชนย่อมมีน้อยลง นโยบายการคลังจึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่า การจัดสรรทรัพยากรระหว่างภาครัฐบาลและภาคเอกชนเป็นไปในสัดส่วนที่ทำให้สังคมได้รับสวัสดิการสูงสุดหรือไม่ นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาว่าการจัดสรรทรัพยากรภายในภาครัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด รัฐสามารถจัดหาสินค้าและบริการสาธารณะ (public goods and services) ในปริมาณและคุณภาพตรงกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่
ประการที่สอง ส่งเสริมการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม เนื่องจากแผนการใช้จ่ายของรัฐบาลจะเป็นตัวกำหนดว่าประชาชนกลุ่มใดจะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายของรัฐ และแต่ละกลุ่มจะได้ประโยชน์มากน้อยต่างกันเท่าใด ส่วนแผนการหารายได้ก็ควรจะมีการวิเคราะห์ว่าประชาชนกลุ่มใดจะเป็นผู้รับภาระการใช้จ่ายของรัฐ และแต่ละกลุ่มจะรับภาระมากน้อยต่างกันเท่าใด ฉะนั้น นโยบายการคลังจึงสามารถนำไปสู่การปรับปรุงการกระจายรายได้เบื้องต้นของประชาชนให้มีความทัดเทียมมากขึ้น แต่ทั้งนี้ยังต้องมีเงื่อนไขสำคัญอีกประการหนึ่งคือมีกลไกการเมืองที่นักการเมืองจำต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง
ประการที่สาม เสริมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจจะมีการขยายตัวก็ต่อเมื่อการสะสมทุน (capital formation) มีอัตราการเพิ่มสูงกว่าอัตราการเพิ่มของประชากร รัฐบาลอาจใช้นโยบายการคลังโดยเพิ่มการใช้จ่ายในด้านการศึกษา เพื่อยกระดับความรู้และทักษะของประชาชนให้สูงขึ้น หรือเพิ่มการลงทุนในภาครัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาด้านสาธารณูปโภค เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การลงทุนและการผลิตของภาคเอกชน รวมทั้งการเลือกใช้ประเภทและอัตราภาษีเพื่อชักนำให้เอกชนมีการออมและลงทุนในกิจการบางประเภท
ประการที่สี่ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ขาดเสถียรภาพหรือมีความผันผวนในด้านต่างๆ เช่น การจ้างงาน รายได้ของแรงงาน ระดับราคา เป็นต้น มักก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนจำนวนมาก นโยบายการคลังจึงต้องพยายามสร้างเสถียรภาพให้เกิดขึ้นกับสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งการสร้างเสถียรภาพในตลาดเงิน และความสมดุลในบัญชีเดินสะพัด
1.3 เครื่องมือนโยบายการคลัง งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือสำคัญของนโยบายการคลัง งบประมาณแผ่นดินเป็นแผนการเงินของรัฐบาล ประกอบด้วยประมาณการรายได้และรายจ่าย รวมทั้งการจัดหาเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามประมาณการรายจ่ายในช่วงระยะเวลา 1 ปี การจัดทำงบประมาณแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะคือ งบประมาณสมดุล (balanced budget) ซึ่งหมายถึงรายจ่ายรวมเท่ากับรายได้รวม งบประมาณเกินดุล (surplus budget) คือรายได้มากกว่ารายจ่าย และงบประมาณขาดดุล (deficit budget) คือรายจ่ายมากกว่ารายได้ งบประมาณแบบขาดดุลนี้รัฐบาลจะต้องจัดหาเงินมาจุนเจือส่วนที่ขาดดุลโดยการก่อหนี้สาธารณะ ดังนั้นเครื่องมือของนโยบายการคลังจึงประกอบด้วย รายจ่าย รายรับ และหนี้สาธารณะ
2.1 รายจ่ายรัฐบาล รายจ่ายของรัฐบาลอาจจำแนกได้หลายวิธี แต่ละวิธีมีจุดมุ่งหมายและประโยชน์แตกต่างกันไป การจำแนกประเภทรายจ่ายของรัฐบาลที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์บทบาททางเศรษฐกิจของรัฐบาล คือการจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วย
(1) รายจ่ายในการบริโภค (consumption expenditure) หรืองบประจำ (current expenditure)
(2) รายจ่ายในการลงทุน (investment expenditure) หรืองบลงทุน (capital expenditure)
(3) รายจ่ายเงินโอน (transfer expenditure, R) ด้วย เป็นรายจ่ายที่รัฐบาลจ่ายให้แก่บุคคลหรือหน่วยงานโดยไม่มีผลต่อการสร้างผลผลิต เป็นเพียงการโอนอำนาจซื้อจากภาครัฐบาลไปสู่ภาคเอกชน ได้แก่ เงินบำเหน็จ บำนาญ เงินชดเชยการว่างงาน เงินสงเคราะห์คนชราและทุพพลภาพ เงินอุดหนุนต่างๆ ที่จ่ายให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคตามนโยบายของรัฐบาล เงินช่วยเหลือที่ให้แก่รัฐบาลต่างประเทศ สมาคมและมูลนิธิต่างๆ และการจ่ายค่าตอบแทนที่ดินเวนคืนและการซื้อหุ้นเก่า เป็นต้น
2.2 รายรับของรัฐบาล รายรับของรัฐบาลอาจจำแนกเป็น 2 ประเภท คือ รายได้จากการเก็บภาษีอากร (tax revenue) และรายได้ที่มิใช่ภาษีอากร (non-tax revenue) รายได้จากภาษีอากรได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีศุลกากร และภาษีสรรพสามิต ส่วนรายได้ที่มิใช่ภาษีอากร ได้แก่ รายได้จากรัฐพาณิชย์ รายได้จากการขายหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ และการเก็บค่าธรรมเนียมประเภทต่างๆ ตามปกติรัฐบาลมีรายได้ส่วนใหญ่จากการเก็บภาษีอากร
ภาษีต่างๆ อาจจำแนกตามภาระภาษี ได้แก่ ภาษีทางตรง (direct tax) และภาษีทางอ้อม (indirect tax) ภาษีทางตรงคือภาษีที่ผู้เสียภาษีเป็นผู้แบกรับภาระของภาษีนั้นทั้งหมด หรือส่วนใหญ่ไม่สามารถผลักภาระภาษีไปยังผู้อื่นได้ ภาษีทางตรงมักเก็บจากฐานรายได้และทรัพย์สิน เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการประกันสังคม ภาษีมรดก และภาษีการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค เป็นต้น ส่วนภาษีทางอ้อมคือภาษีที่ผู้เสียภาษีเป็นผู้แบกรับภาระของภาษีเพียงบางส่วน หรืออาจผลักภาระภาษีทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ไปยังผู้อื่นได้ ภาษีทางอ้อมมักเก็บจากฐานการใช้จ่ายหรือการซื้อขาย เช่น ภาษีศุลกากร ภาษี สรรพสามิต ภาษีการค้า และภาษีทรัพย์สิน เป็นต้น
2.4 หนี้สาธารณะ
ในกรณีที่งบประมาณแผ่นดินขาดดุล รัฐบาลจะต้องจัดหาเงินมาจุนส่วนที่ขาดดุลโดยการก่อหนี้สาธารณะ ซึ่งอาจจำแนกตามระยะเวลา และตามแหล่งที่มาของเงินกู้ หากจำแนกตามระยะเวลามักแบ่งเป็นหนี้ระยะสั้น (ระยะเวลาชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยไม่เกิน 1 ปี) และหนี้ระยะยาว (มากกว่า 1 ปีขึ้นไป) ส่วนการจำแนกตามแหล่งที่มาของเงินกู้ แบ่งเป็นหนี้ภายในและหนี้ต่างประเทศ
3. ประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับหนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะแบ่งเป็นหนี้รัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งอาจมีการกู้ยืมภายในและต่างประเทศ ในที่นี้จะพิจารณาเฉพาะหนี้รัฐบาลกลาง
3.1 วัตถุประสงค์ของการก่อหนี้ภายในประเทศ มีดังนี้
(1) เพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุลแบบชั่วคราว กล่าวคือในช่วงปีงบประมาณหนึ่งๆ ทางด้านรายจ่ายนั้นจะต้องเป็นไปตามจำนวนเงินที่ได้รับอนุมัติ และตามกำหนดเวลาที่หน่วยราชการต่างๆ วางแผนไว้ อีกทั้งยังมีรายจ่ายประจำส่วนหนึ่ง (เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง เป็นต้น) ที่ต้องจ่ายทุกเดือน แต่ในด้านรายรับนั้นรัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีอากรได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี อย่างเช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะมีการจัดเก็บได้มากในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม รัฐบาลจึงจำเป็นต้องกู้เงินภายในประเทศระยะสั้นเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายเป็นการชั่วคราว
(2) เพื่อใช้ในการลงทุนตามโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ เนื่องจากหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของรัฐบาลในประเทศที่กำลังพัฒนา คือ การเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เจริญ
ก้าวหน้า โดยการจัดทำโครงการต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมากเกินกว่ารายได้ตามปีงบประมาณของรัฐที่จะจัดสรรมาสนับสนุนได้ รัฐบาลจึงต้องกู้เงินภายในประเทศเพื่อนำมาใช้จ่ายในโครงการพัฒนาต่างๆ
(3) เพื่อสร้างเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ กล่าวคือในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ อันเนื่องมาจากความต้องการใช้จ่ายมวลรวมลดลง ผู้ผลิตจำเป็นต้องลดการผลิต ทำให้เกิดการว่างงาน รัฐบาลอาจต้องเพิ่มความต้องการใช้จ่ายมวลรวมโดยเพิ่มรายจ่ายของรัฐบาล เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรและการจ้างงานเพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ การเพิ่มรายจ่ายเช่นนี้ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงิน
สำหรับการกู้เงินจากต่างประเทศของรัฐบาลมีวัตถุประสงค์สำคัญ 2 ประการ ดังนี้
(1) เนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทุนนิยมได้เน้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยผ่านการลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แต่การออมภายในประเทศมีไม่เพียงพอแก่ความต้องการลงทุน จึงต้องกู้เงินจากต่างประเทศ ยิ่งกว่านั้นการกู้เงินต่างประเทศเกิดจากการที่รัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บภาษีอากรและรายได้อื่นภายในประเทศได้เพียงพอ
(2) ในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ จำเป็นต้องใช้สินค้าทุนและเทคโนโลยีทันสมัยจากต่างประเทศ ซึ่งต้องชำระค่าตอบแทนด้วยเงินตราต่างประเทศ แต่เนื่องจากการหารายได้เงินตราต่างประเทศจากการขายสินค้าและบริการส่งออกยังไม่เพียงพอ จึงต้องกู้เงินจากต่างประเทศ โดยคาดว่าการใช้เงินกู้เหล่านั้นจะให้ผลตอบแทนคุ้มกับค่าดอกเบี้ยที่ต้องเสียไป
3.2 ผลกระทบทางเศรษฐกิจของหนี้ภายในประเทศ มีผลกระทบ 2 ส่วนหลัก คือผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยทั่วไป และผลกระทบเฉพาะด้านอันเกิดจากแหล่งเงินกู้ที่ต่างกัน
(ก) ผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยทั่วไป ผลกระทบที่สำคัญมีดังนี้
(1) ผลกระทบต่อการจัดสรรทรัพยากร การก่อหนี้ภายในประเทศมีผลทำให้รัฐบาลมีเงินใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และเอกชนมีเงินใช้จ่ายน้อยลง จึงเท่ากับเป็นการดึงทรัพยากรจากภาคเอกชนมาสู่ภาครัฐบาลเป็นที่ยอมรับกันว่าการใช้ทรัพยากรของภาครัฐบาลโดยทั่วไปมีประสิทธิภาพต่ำกว่าของภาคเอกชน ดังนั้นการกู้เงินของรัฐบาลจึงอาจทำให้การใช้ทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจโดยส่วนรวมมีประสิทธิภาพลดลง
(2) ผลกระทบต่อภาวะตลาดเงินและการลงทุน การกู้เงินของรัฐบาลจากตลาดเงินทุนก็คือ การแย่งเงินทุนจากภาคเอกชนมาสู่ภาครัฐบาล ทำให้ตลาดเงินทุนมีเงินทุนเหลือน้อยลงสำหรับการลงทุนในภาคเอกชน ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยจึงสูงขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อการลงทุนของธุรกิจเอกชน
(3) ผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล การกู้เงินของรัฐบาลก่อให้เกิดภาระการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยรวมทั้งค่าธรรมเนียมการกู้ยืมต่าง ๆ ในเวลาต่อมา รัฐบาลในอนาคตจะต้องรับภาระการชำระหนี้ที่รัฐบาลในปัจจุบันได้ก่อขึ้น ภาระหนักในการชำระหนี้นอกจากจะมีผลทำให้งบประมาณขาดดุลตลอดไปแล้ว ยังทำให้รัฐบาลในอนาคตขาดแคลนเงินทุนเพื่อการใช้จ่ายเพราะต้องแบ่งรายได้ที่หามาได้ตามปกติส่วนหนึ่งไปชำระหนี้ ดังนั้นจึงอาจไม่มีเงินเหลือเพียงพอที่จะนำไปใช้จ่ายในการริเริ่มหรือขยายกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามที่ต้องการ
(4) ผลกระทบต่อการกระจายรายได้ ในการชำระหนี้ของรัฐบาลอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อรายได้ของประชาชน 2 กลุ่มในลักษณะที่ตรงกันข้าม กล่าวคือ ในการชำระหนี้ รัฐบาลจะต้องเก็บภาษีอากรจากประชาชนทั่วไปซึ่งมีทุกระดับรายได้เพื่อนำมาจ่ายเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยแก่ผู้ถือหลักทรัพย์รัฐบาล ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าประชาชนทั่วไป หากจำนวนเงินกู้มีมาก จำนวนดอกเบี้ยก็จะมีมากตามไปด้วย ดังนั้น การกู้และการชำระหนี้ของรัฐบาลมีผลทำให้การกระจายรายได้ของส่วนรวมมีความเหลื่อมล้ำมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เมื่อเทียบกับการหารายได้ของรัฐโดยการเก็บภาษีอากร
(5) ผลกระทบต่ออุปสงค์รวมและภาวะดุลการค้า การที่รัฐบาลกู้เงินจากธนาคารกลาง (ซึ่งพิมพ์ธนบัตรได้) และระบบธนาคารพาณิชย์ (ซึ่งอาจขยายสินเชื่อโดยการสร้างเงินฝากได้) มาใช้จ่าย จะทำให้อุปสงค์รวมเพิ่มขึ้น และหากเพิ่มมากเกินไปจะทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ (ส่วนการกู้เงินจากประชาชน ทำให้การบริโภคและการลงทุนของประชาชนลดลง แต่การบริโภคและการลงทุนของรัฐบาลเพิ่มขึ้น ผลสุทธิด้านอุปสงค์มวลรวมอาจใกล้ศูนย์) และหากมีการซื้อสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น อาจทำให้เกิดปัญหาขาดดุลการค้า
(ข) ผลกระทบเฉพาะด้านอันเกิดจากแหล่งเงินกู้ที่ต่างกัน ในที่นี้จะพิจารณาผลกระทบต่อสินเชื่อและปริมาณเงิน เราทราบแล้วว่าการเก็บภาษีอากรมีผลเท่ากับรัฐบาลดึงเงินที่ประชาชนมีไว้ใช้จ่ายมาใช้จ่ายแทน การเก็บภาษีอากรจึงไม่มีผลต่อการขยายสินเชื่อ แต่การกู้เงิน (จำนวนกู้ที่เท่ากัน) จากแหล่งเงินกู้ที่แตกต่างกันจะมีผลต่อการขยายสินเชื่อมากน้อยไม่เท่ากันดังนี้
(1) การกู้เงินจากธนาคารกลาง อาจมีผลเป็นการเพิ่มจำนวนธนบัตรหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจโดยตรง หากธนาคารกลางใช้หลักทรัพย์รัฐบาล (หลักฐานการกู้) เป็นทุนสำรองหนุนหลังการนำธนบัตรออกใช้ตาม พ.ร.บ. เงินตรา พ.ศ.2501 การที่ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นโดยที่ปริมาณสินค้าและบริการยังคงผลิตได้ในอัตราเท่าเดิม ย่อมส่งผลให้ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปสูงขึ้น
การกู้เงินจากธนาคารกลางยังอาจทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นได้อีกนอกเหนือจากผลอันดับแรกที่ได้กล่าวไปแล้ว กล่าวคือเมื่อรัฐบาลนำเงินกู้นี้ไปใช้จ่าย เงินเหล่านี้จะกลายเป็นฐานเงินในการขยายสินเชื่อ เพราะธนาคารพาณิชย์จะได้รับเงินฝากมากขึ้นและสามารถใช้เป็นเงินสดสำรองในการขยายสินเชื่อแก่ประชาชนทั่วไป
ดังนั้นหากพิจารณาผลรวมทั้ง 2 ประการนี้แล้ว จะเห็นว่าการกู้เงินจากธนาคารกลางมีผลต่อการเพิ่มปริมาณเงินได้มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการกู้เงินจากแหล่งอื่นๆ
อนึ่ง การใช้จ่ายของรัฐบาลจากเงินคงคลัง (เงินสะสมจากงบประมาณเหลือจ่ายในปีก่อนๆ) ก็มีผลต่อปริมาณเงินในระดับเดียวกับการกู้เงินจากธนาคารกลาง
(2) การกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ การกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์จะทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น เพราะธนาคารพาณิชย์สามารถให้รัฐบาลกู้เงินโดยการขยายสินเชื่อ โดยไม่จำเป็นต้องลดการลงทุนของธนาคารในด้านอื่นลง
(3) การกู้เงินจากสถาบันการเงินอื่นและประชาชน การกู้เงินของรัฐบาลจากประชาชนและสถาบันการเงินอื่นๆ เช่น บริษัทเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ บริษัทประกันภัย สหกรณ์ออมทรัพย์ โรงรับจำนำ และบริษัทห้างร้านต่างๆ เป็นต้น ไม่มีผลในการเพิ่มปริมาณเงิน เพราะเป็นเพียงการโอนอำนาจซื้อจากเอกชนเหล่านี้มาให้กับรัฐบาล ผู้ให้กู้เหล่านี้ไม่สามารถสร้างเงินเหมือนอย่างธนาคารพาณิชย์ ผู้ให้กูเหล่านี้จึงต้องลดการใช้จ่ายและการลงทุนในส่วนของตนให้น้อยลง
โดยสรุปการกู้เงินจากทั้ง 3 แหล่ง คือธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์และเอกชนอื่นมีผลกระทบต่อปริมาณเงิน และระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปที่แตกต่างกัน การกู้เงินจากธนาคารกลางและการใช้เงินคงคลังจะทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นมากกว่ากู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ ส่วนการกู้จากเอกชนอื่นๆ ไม่มีผลในการเพิ่มปริมาณเงิน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเงินเฟ้อสถาบันการเงินอื่นและประชาชนจึงเป็นแหล่งเงินกู้ของรัฐบาลที่เหมาะสมที่สุด
3.3 ผลกระทบทางเศรษฐกิจของหนี้ต่างประเทศ มีผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างน้อย
3 ประการ โดยสรุปดังนี้
(1) ผลกระทบต่อการใช้ทรัพยากร ผลกระทบด้านนี้อาจเข้าใจได้ง่ายโดยการเปรียบเทียบการกู้เงินภายในและการกู้เงินต่างประเทศในเวลา 2 ช่วง กล่าวคือ ในช่วงเวลาที่มีการใช้เงินกู้ การกู้เงินภายในประเทศของรัฐบาลเป็นการดึงทรัพยากรจากภาคเอกชนมาสู่มือภาครัฐบาลภายในระบบเศรษฐกิจเดียวกัน ดังนั้นภาคเอกชนจึงมีทรัพยากรใช้น้อยลง ส่วนการกู้เงินจากต่างประเทศนั้น ประเทศลูกหนี้ได้รับทรัพยากรจากประเทศเจ้าหนี้ ภาคเอกชนยังคงสามารถใช้ทรัพยากรเท่าเดิม
ต่อมาในช่วงที่มีการชำระหนี้ ในกรณีการกู้ภายใน การเก็บภาษีเพื่อชำระหนี้ไม่ทำให้ทรัพยากรทั้งระบบเศรษฐกิจลดลง แม้ว่าผู้จ่ายภาษีจะเป็นฝ่ายสูญเสียทรัพยากร แต่ผู้ถือหลักทรัพย์รัฐบาลจะเป็นฝ่ายได้ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายนี้ต่างก็อยู่ภายในระบบเศรษฐกิจเดียวกัน จึงเปรียบเสมือน “มือซ้ายเป็นหนี้มือขวา” ทรัพยากรภายในระบบเศรษฐกิจมีคงเดิม ส่วนในกรณีการกู้เงินต่างประเทศ เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ ประเทศลูกหนี้จะต้องโอนทรัพยากรส่วนหนึ่งไปยังประเทศเจ้าหนี้ ปริมาณทรัพยากรทั้งระบบเศรษฐกิจของประเทศลูกหนี้จะลดลง
ไม่มีความเห็น