ครู
โรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ สพม. เขต 2Username
thammaratchoothong
เข้าระบบเมื่อ
-
(ไม่มีตั้งแต่ พ.ศ. 2564)
ประวัติย่อ
นายธรรมรัตน์ สกุล ชูทอง (ต้น)
สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย ศาสนา พุทธ
ภูมิลำเนาเดิม บ้านเลขที่ 28 /1 หมู่ที่ 6 ตำบลควนเกย
อำเภอร่อนพิบูลย์ นครศรีธรรมราช 80130
โทร. 086 079 68...
การศึกษา
ปริญญาตรี พุทธศาสตร์บัณฑิต (พธ.บ.) คณะสังคมศาสตร์
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
(เกียรตินิยมอันดับ ๒)
ประกาศนียบัตรวิชาชีพครู (ปว.ค.)
ปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ (เอกการบริหารัฐกิจ)
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
---------------------------------------------------------
ภาพนี้.. ลุง พี่ น้อง มาเยี่ยมหลาน.. 7 มีนาคม 2552
ชีวิต..ประดุจสายน้ำ..ที่ไหลไปไม่หยึดนิ่ง...สรรพสิ่งหมุนเวียน.
ความรู้ของสังคมมนุษย์
เมื่อพูดถึงความรู้ของสังคมมนุษย์นั้นมีที่มาหลายประการ จึงพอสรุปได้ คังนี้
1. ไสยศาสตร์ (Magic Knowledge) เป็นความรู้ที่ลึกลับ มักเกี่ยวข้องกับอำนาจที่ผิดธรรมดา ไม่จำเป็นต้องมีความชัดเจนหรืออธิบายได้ เมื่อไม่สามารถอธิบายหรือเข้าใจได้ก็เกิดความหวาดกลัว ขาดความมั่นใจ จนต้องยอมรับในสิ่งที่เรียกว่าไสย เช่นการเชื่อถือโชคลาง หรือภูตผี ซึ่งเป็น supernatural คือสภาวะเหนือธรรมชาติ กล่าวกันว่า magic เป็นเครื่องมือที่มนุษย์ในยุคเริ่มแรกใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ เพราะสมัยที่มนุษย์ยังไม่ได้พัฒนาความรู้มากเท่าปัจจุบัน การพบปรากฎการณ์ต่างๆ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว พายุ ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ 2. ความรู้จากประสบการณ์ (Knowledge of Experience) ความรู้ประเภทนี้มนุษย์มักได้มาอย่างกระทันหัน อาจเป็นความรู้แบบหยาบๆหรือมีลักษณะผิวเผิน หรือหรืออาจเป็นความจริงแท้แน่นอน มนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยได้ผลิตความรู้แบบนี้อยู่ตลอดเวลา ประสบการณ์คือการได้ยิน ได้เห็นได้สัมผัสได้รับความรู้สึกจากสรรพสิ่งหรือเหตุการณ์ปรากฎการณ์ต่างๆด้วยตัวเอง เช่นความรู้ในการจุดไฟโดยใช้วัตถุบางอย่างเสียดสีกันของคนยุคโบราณ ความรู้จากประสบการณ์นี้อาจจะมีทั้งที่ถูกต้องและผิดพลาด ขึ้นกับการตัดสินหรือการแปลความหมายต่อจากการสัมผัสจากประสบการณ์นั้นๆ เช่นถ้าเรามองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นและตกทุกวัน 3. ความรู้จากสามัญสำนึก (Common Sense Knowledge) เป็นความรู้ที่บุคคลได้รับการอบรมสั่งสอนถ่ายทอด (socialization) จากครอบครัว เครือญาติ เพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน สถาบัน หรือที่เรียกว่า “ สังคม ” โดยรวมๆ ตลอดจนได้รับจากประสบการณ์ที่บุคคลได้ประสบพบเห็นบ่อยครั้ง จนเกิดความเคยชินกลายเป็นนิสัยไป (habit) สามัญสำนึกคือ อาการที่มนุษย์รู้สึกหรือเข้าใจหรือมองเห็นสิ่งใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีลักษณะนามธรรม (abstract) หรือรูปธรรม (concrete) จนสามารถตัดสินและแสดงพฤติกรรมตอบสนองปรากฎการณ์หรือสภาวะเรื่องราวนั้นๆ 4. ความรู้เชิงปรัชญา (Philosophical Knowledge) ความรู้ประเภทนี้มีลักษณะลึกซึ้ง และสลับซับซ้อน ได้มาโดยการพินิจพิจารณาใช้ความคิด (thought) แบบมีเหตุผล (reasoning) จนพัฒนากลายเป็นศาสตร์ที่เรียกรวมๆว่า “ ปรัชญา ” (Philosophy) ซึ่งแบ่งสาขาย่อยออกเป็น อภิปรัชญา (Metaphysic) ตรรกวิทยา (Logic) จริยศาสตร์ (Ethics) และสุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) 5. ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Knowledge) เป็นความรู้สมัยใหม่ที่ได้รับการนิยมมากที่สุดในวงวิชาการปัจจุบัน ความรู้แบบวิทยาศาสตร์มีลักษณะสำคัญดังนี้ 5.1 การศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ต้องใช้หลักฐานที่มีอยู่จริง (empirical evidence) เป็นหลักฐานที่หาได้จากโลกของสัจจธรรม (world of reality) จึงถือเป็นความรู้ที่มี การพิสูจน์ให้เห็นได้ ซึ่งทำให้วิทยาศาสตร์แตกต่างไปจากปรัชญา เพราะปรัชญาเป็นความรู้ที่เนื่องมาจากการใช้ความพินิจพิเคราะห์อย่างมีเหตุผลก็จริง แต่ก็นับว่าเป็นเพียงการคาดคะเนของผู้รู้จักใช้เหตุผลเท่านั้น แต่ไม่มีการใช้หลักฐานแบบวิทยาศาสตร์ 5.2 การศึกษาหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์ต้องกระทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่เอาความรู้สึกหรือคุณค่าใดๆเข้ามาเกี่ยวข้อง (value-free) ต้องมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ความถูกต้องแม่นยำ (validity) และความเชื่อถือได้ (reliability) ของข้อสรุปที่เนื่องมาจากการศึกษาหรือการวิจัยแต่ละครั้ง “ ความถูกต้อง ” ของวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ “ ความสมเหตุสมผล ” อย่างในวิชาตรรกวิทยา เพราะความสมเหตุสมผลบางทีก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยข้อเท็จจริงเสมอไป “ ความเชื่อถือได้ ” ไม่ได้หมายถึงความเชื่อถือที่เกิดขึ้นจากคารมของผู้ศึกษาหรือจากอำนาจในการใช้เหตุผล แต่เป็นความเชื่อถือที่เครื่องมือในการศึกษา ได้ “ วัด ” สิ่งที่เราต้องการจะวัดจริงๆ 5.3 ความรู้แบบวิทยาศาสตร์เป็นความรู้สากล เป็นความรู้ที่อธิบายกลุ่มเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยสามารถทดสอบได้อย่างเป็นสากล คือต้องอธิบายทั่วไปได้หลายๆเหตุการณ์ มิใช่ใช้ได้เฉพาะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น แต่ต้องเป็นความรู้ที่จริงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะถูกนำไปทดลอง ตรวจสอบ หรือใช้โดยใคร คนชาติไหน ภาษาใด ที่ไหน และเมื่อไร เมื่อมีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ไปพิสูจน์หรือใช้ตามหลักเกณฑ์แล้ว ผลที่ได้รับย่อมจะเหมือนกันเสมอ เช่น หนึ่งบวกหนึ่งย่อมเท่ากับสองเสมอ ไม่ว่าใครจะบวก หรือบวกเมื่อไหร่ก็ตาม หรือความรู้ทางการแพทย์แผนใหม่สามารถนำไปใช้กับคนทั้งโลก ผิดกับการรักษาคนไข้แบบไสยศาสตร์อาจใช้ได้เฉพาะคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์เท่านั้น 5.4 การศึกษาหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะทำโดยการสังเกต การทดลอง และอื่นๆ จะต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีการจดบันทึกเพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิง และสะสมต่อเนื่องกันจนเกิดองค์ความรู้ กลายเป็นกฎเกณฑ์ หลักการ และทฤษฎี ที่ได้รับการยอมรับจากผู้รู้หรือนักวิทยาศาสตร์สาขานั้นๆ ซึ่งทำให้วิทยาศาสตร์แต่ละสาขามีกฎเกณฑ์ กระบวนวิธีการของการปฏิบัติเป็นของตนเอง 5.5 ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีการค้นคว้าวิจัยอยู่ตลอดเวลา จึงมีความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นสะสมต่อเนื่องกันไป มีการเปลี่ยนแปลงได้ เช่นเมื่อก่อนเราทราบว่ามีธาตุอยู่ไม่เกิน 100 ธาตุ แต่ปัจจุบันเราพบมากกว่า 100 ธาตุแล้ว และในอนาคตเราก็อาจค้นพบธาตุใหม่ๆขึ้นมาได้อีก ----------------------------------------------------------------------------------ที่มา ศูนย์พัฒนาทรัพยากรการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม 44150