ความฉลาดแบบ "พายเรือในอ่าง" และ "น้ำเต็มแก้ว"


ผมมีเพื่อน ๆ น้อง ๆ หลายคนในที่ทำงานเดียวกัน แต่ละคนล้วนแต่มีข้อดีและข้อด้อยไม่เหมือนกัน จนบางครั้งก็ปวดหัวกับวิธีคิดของพวกเขา หรือไม่ก็ต้องพยายามดึงเขากลับมาสู่โลกแห่งความจริง หรือโลกแห่งการทำงานร่วมกับผู้อื่นให้ได้ เรียกว่า "เหนื่อย" พอสมควรแหละครับ เพราะแต่ละคนเป็นครูบาอาจารย์ที่มีตัวตน มีอัตตาสูง เรื่องที่จะยอมใครไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ดังนั้น คนที่เป็นเพื่อนเขา พี่เขา อย่างผม เวลานำเสนออะไร ต้องคิดหาทางออกทั้งข้อดีและข้อเสียไปให้พิจารณา เหมือนเป็นที่ปรึกษา และเลขาพวกนี้ไปเลย

ขอสักเคส นะครับ ... เรื่อง ความฉลาดแบบ "พายเรือในอ่าง" และ "น้ำเต็มแก้ว"

เพื่อนผมคนนี้เรียนเก่งมาก ๆ เป็นลูกหม้อในมหาวิทยาลัยท้องถิ่นทีเดียว มีอารมณ์อ่อนไหวดั่งศิลปินผู้รักงานศิลปะและการออกแบบมาก และเป็นนักวิจัยท้องถิ่นตัวยงหาคนจับยาก ซึ่งจากความเก่งกาจที่ได้เอ่ยมาบางส่วนนั้น ทำให้เพื่อนผมเป็นคนมีความเชื่อมั่นใจตนเองสูงมาก

ซึ่งจากการสังเกตการณ์ของผม เขาจะเป็นผู้ทนงตัว ไม่ยอมงอให้ใครง่าย ๆ หากเขาไม่ศรัทธา หรือ เชื่อมั่นในบุคคลคนนั้นจริง ๆ เมื่อใดที่เขาเชื่อมั่นและศรัทธา เขาจะกลายเป็นเหมือน "เทียนที่อ่อนตัว" ลงมาอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่า คนที่เขาเชื่อมั่นและศรัทธาจะว่าอย่างไร เขาจะเชื่อฟังอย่างถึงที่สุด โดยบางครั้งก็ไม่ได้นำวิธีวิเคราะห์แบบนักวิจัยมาพิจารณา แต่เลือกที่เชื่อทันที ซึ่งผมคิดว่า มันเป็นอันตรายต่อตัวเขามาก จนอดเป็นห่วงไม่ได้

ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะพูดสิ่งใด ทำสิ่งใด ถูกต้องไปเสียหมด เขายังมีข้อบกพร่องอยู่เหมือนคนทั่ว ๆ ไป หากแต่เขาเหล่านั้นอาจจะมีข้อดีที่เห็นเด่นชัดและจับใจสำหรับเรามากกว่าข้อด้อยก็เท่านั้นเอง

มนุษย์ ก็คือ มนุษย์

ผมยอมรับว่า เพื่อนคนนี้เป็นคนเก่งและฉลาดคนหนึ่ง มีวิธีการแก้ไขปัญหาได้อย่างฉับพลัน โดยเป็นการเลือกเส้นทางที่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ เป็นแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

แต่ในความเชื่อบางเรื่อง กลับเป็นการเลือกเอาความคิดดั้งเดิม ประสบการณ์และความเชื่อเดิม ๆ กลับมาใช้ใหม่ในปัจจุบันขณะ ซึ่งกลายเป็นภาพที่ออกมาว่า เขาใช้วิธีคิดที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ฉันเชื่ออย่างนี้ ฉันคิดอย่างนี้ พูดกี่รอบ ๆ ความคิดเหล่านี้ก็จะกลับมาเสมอ ทั้ง ๆ ที่มันใช้ไม่ได้ ณ ปัจจุบันเลย เรียกว่า "ย้ำคิดย้ำทำ" ก็น่าจะพูดได้ครับ

อย่างมีนักคิดคนหนึ่งพูดว่า "ความสำเร็จในอดีต ใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน"

เพราะบางสถานการณ์ บางสิ่งแวดล้อม ปัจจัยมันต่างกัน จะใช้วิธีการแก้ไขปัญหาแบบเดิมได้อย่างไร ?

ลักษณะของคนที่ "พายเรืออยู่ในอ่าง" คือ เคยเก่ง เคยฉลาดอยู่แค่ไหน ยังคงมีอยู่เท่าเดิม แต่ยังใช้สิ่งเดิม ๆ มาคิด ไม่ได้พัฒนาตัวเองให้มากขึ้น อีกทั้งเหมือน "น้ำเต็มแก้ว" ที่รับความคิด ความรู้ คำแนะนำจากใคร ๆ ไม่ได้ นอกจากคนที่ตัวเองเชื่อมั่นและศรัทธาเท่านั้น (เชื่อโดยปราศจากการไตร่ตรองอีก)

ผมล่ะ เหนื่อยใจชะมัด รู้ทั้งรู้ว่า "เราไม่สามารถเปลี่ยนใครได้ นอกจากตัวเอง" แต่ในฐานะของเพื่อน ก็อยากจะให้เขาออกมาสู่โลกของคนอื่นบ้าง ไม่ใช่ นั่งอยู่แต่ในโลกของตัวเอง คิดเอง เออเองอยู่ตลอดเวลา มันก็จะคิดวนไปวนมาอยู่แบบนี้จนตาย โดยไม่พบเห็นอะไรใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเดิม เสียดายชีวิต

เออ ใช่จริง ๆ ด้วย ... เขาชอบนั่งอยู่ในโลกของตัวเองมากเกินไป จนบางทีเขาเป็น "ผู้พูด" มากกว่า "ผู้ฟัง" ไม่ สุ จิ ปุ ลิ ใด ๆ

 

ขอบคุณการใช้พื้นที่เพื่อทบทวนความคิดของตัวเอง ณ บันทึกนี้

ขอบคุณเพื่อน ๆ และกัลยาณมิตรทุกท่านครับ

บุญรักษา ครับ ;)

 

หมายเลขบันทึก: 293854เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2009 10:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 01:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)
  • ธรรมชาติให้ ๑ ปาก ๒ ตา ๒ หู
  • แต่ปาก นอกจากพูด ยังต้องใช้กิน..ด้วย
  • บทบาทปาก..จึงเหลือพูดกับกินอย่างละครึ่ง...
  • ขอขอบพระคุณ..สำหรับข้อคิดและความรู้..นำสู่..ปัญญาครับ

ครับพี่ Was

อย่างน้อยบันทึกนี้ก็ได้อ่านการขยายความของคำว่า พายเรือในอ่าง ครับ ยังไงก็ขอให้เพื่อนพี่คนนี้ใช้วิชาความรู้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมให้เต็มที่ละกันเด้อ ^^

ถ้าเผลอตกลงไปในอ่างพี่เค้าก็ช่วยด้วยละกันคร๊าบ ;)

อืมม 50 - 50 ครับ น้องเดย์ adayday ... เรียกว่า เอาแต่ใจเป็นส่วนใหญ่ ใคร่ทำก็ทำเต็มที่ ใคร่ไม่อยากทำก็หนีไปอยู่ในโลกของตัวเอง

สู้ สู้ ครับ ;)

สวัสดีค่ะ พี่อาจารย์ Wasawat Deemarn

เคยได้ยินคนที่ถูกรถชนบาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้าง.. มักพูดว่า ไม่เห็นรถที่กำลังวิ่งมาชน  แน่นอน (นึกในใจ) ใครจะวิ่งไปให้รถชนเนอะ..  อิ อิ

ในการแก้ปัญหา แม้สถานการณ์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนก้อนเมฆ..  แต่พื้นฐานที่เป็นเกณฑ์แบบที่เหตุการณ์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จะยังคงอยู่ เช่น การมีมงคลสูตร 38 เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวในการใช้ชีวิต ที่สามารถใช้ได้ทุกวัย ตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งเป็น สว... 

ในภาษาจีน จะมีคำพูดว่า  เมื่อไม่ถึงเวลา ดอกไม้ไม่บาน

...ผมล่ะ เหนื่อยใจชะมัด รู้ทั้งรู้ว่า "เราไม่สามารถเปลี่ยนใครได้ นอกจากตัวเอง" แต่ในฐานะของเพื่อน ก็อยากจะให้เขาออกมาสู่โลกของคนอื่นบ้าง ไม่ใช่ นั่งอยู่แต่ในโลกของตัวเอง คิดเอง เออเองอยู่ตลอดเวลา มันก็จะคิดวนไปวนมาอยู่แบบนี้จนตาย โดยไม่พบเห็นอะไรใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเดิม เสียดายชีวิต...

พี่อาจารย์คะ  ตรงนี้น้องนีนานันท์ ก็เห็นด้วยค่ะ  (ขออนุญาตให้น้องออกความเห็นต่อนะคะ อิ อิ) แต่อย่างไรก็ตาม มันอาจเป็นกรรมของเขาเองก็ได้..  พี่อาจารย์ มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา ครบแล้ว  เหลือ อุเบกขา  อย่างนี้ ต้องทำใจค่ะ  อิ อิ 

ในฐานะที่เพื่อนของพี่อาจารย์เป็นอาจารย์ ที่มีหน้าที่ถ่ายทอดวิทยายุทธ พร้อมอบรมศิษย์ ก็ต้องดูว่า นิสัยนี้ เป็นพิษเป็นภัยต่อศิษย์มากไหม  ถ้าเป็นเพียงแค่คิดเองเออเองในโลกของตัวเอง แต่ไม่ขัดหรือเป็นพิษภัยต่ออาชีพ ก็อย่าไปช่วยเขาเสียดายเลยค่ะ  บางคนที่น้องเคยเห็น เพียรทำดีตั้งมากมาย ยังหาความสบายใจในโลกของตัวเองไม่เจอเลยก็มีค่ะ..  อิ อิ 

พูดยาวอีกแล้ว..   ขอให้พี่อาจารย์ สุขกาย สบายใจ นะคะ  เป็นกำลังใจให้ค่ะ      

พูดยาว ๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

ขอบคุณมากครับ น้อง นีนานันท์ ;)...

สวัสดีค่ะ

  • อาจารย์สบายดีนะคะ
  • มาอ่านบันทึก..ได้ทบทวนความคิด  และได้รับฟังข้อคิดเห็นของสมาชิกด้วย
  • หลายครั้งก็เคยคิดค่ะว่า...ทีเราไม่เห็นจะต้องมีใครมาบังคับให้ทำงาน คิดงานใหม่ ๆ ดิ้นรนและแสวงหา่เพื่อการทำหน้าที่ให้สมบูรณ์
  • มีคนคิดและทำแบบเราไหม  หรือใครทำดีกว่าเรา  เขาทำแบบไหน  เราจะไปเรียนรู้ได้อย่างไรหนอ
  • แต่เราก็เห็นว่า..เขาทำแบบนั้นไร้สาระ ไม่ได้ประโยชนืและไม่ดีเลย  เราจะทำอย่างไรดี 
  • เขาบอกกับเราว่า...ประเทศไทยไม่ใช่ของเขาเพียงคนเดียว...เขาไม่อายเลยที่เขาพูดแบบนี้
  • แล้วเราก็คิด..ๆ.ๆ.ๆ.ๆ.ๆ.ๆ. กลายเป็นคิดเรื่องของคนอื่น
  • ขอขอบพระคุณค่ะอาจารย์
  • เราอ่านเขาออก ยอมรับเขา และปรับตัวเข้ากับเขาได้ แต่เขาไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองใช่ไหมคะ?  
  • จากประสบการณ์นพลักษณ์ 9 หากทำให้เขามองเห็นตัวเองและโลกทัศน์ผู้อื่น เขาก็จะค่อย ๆ เรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตัวเองค่ะ
  • ที่กล่าวมาอาจจะดูเลื่อนลอย 
  • จริง ๆ แล้วได้นำมาใช้กับหลายคนแล้วนะคะ  ซึ่งศิลาได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์ลักษณ์เขาเป็นการส่วนตัว ทำให้เขามองเห็นโลกภายในตัวเอง เฝ้าสังเกตและค่อย ๆ ถอดถอนสิ่งที่เคยยึดติด จากเดิมที่ถือตนเป็นใหญ่ ก็หาจุดที่จะแก้ไข และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปเรื่อย ๆ เป็นปี ๆ แน่ะค่ะ ไม่ง่ายเลย แต่ก็ดีกว่าชีวิตนี้ มืดบอดมองไม่เห็นอะไรเลย

เชื่อจริง ๆ เลยค่ะ  ทุุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เสมอค่ะ ถ้ามองเห็นว่าอะไรที่สมควรเปลี่ยน โดยเป็นการมองเห็นด้วยตัวเขาเอง  แต่ ณ วันนี้ สิ่งที่เราทำได้คือ เปลี่ยนแปลงตัวเราก่อนดีกว่า หากว่าเราดีให้เห็น เขาอาจจะเปลี่ยนตามก็ได้ค่ะ นี่คือสิ่งที่ศิลานำมาเตือนสติตัวเองเสมอ เมื่อเห็นว่าเราไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ค่ะ

  • อาจจะดูเป็นนามธรรมนะคะ เป็นอันว่าใคร "รู้สึกตัว" (คำพระนะคะ)  ก่อน นับว่าเป็นวาสนาค่ะ
  • เพียงแค่ทานอาจารย์ Wasawat Deemarn   เป็นกระจกส่องสะท้อนคนและสังคมรอบตัวไปเรื่อย ๆ อาจจะมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกันนะคะ 
  • ปราศจากบุคคลเช่นท่านอาจารย์แล้ว คงไม่มีคนดี ๆ มาแหย่หรือกระตุกสังคมที่ยังมีเปลือกหุ้มหนาแน่นค่ะ

สวัสดีครับ คุณ ครูคิม ;)

เพื่อนผมกำลังใช้ "อัตตา" ฆ่า "ตัวเอง" ไงครับ

เขาเลือกที่จะหนีในสิ่งที่ตนไม่ชอบ ไม่ชื่นชม แต่ไปชื่นชมในคนที่ตัวเองคิดว่า ชื่นชอม

คล้ายผู้บริหารที่ชอบการประจบประแจงนั่นแหละครับ ชอบคนชม ทั้ง ๆ ที่บริหารเลว ใครบอกว่า บริหารไม่ดี ก็ไม่ยอมขึ้นเงินเดือนให้ หรือคอยกลั่นแกล้ง

นิสัยแบบนี้ มันกำลังพัฒนาเป็นเช่นผู้บริหารคนนี้ครับ

เรากำลังเติบโตในหน้าที่การงาน หากเป็นซะตั้งแต่เด็ก ๆ แบบนี้ เห็นทีต้องอยู่คนเดียวในโลกนี้แล้วล่ะครับ

ขอบคุณครับ ;)

สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ศิลา Sila Phu-Chaya นพลักษณ์ ๙ แห่ง Gotoknow ;)

... ๑. เขาจะเลือกเปลี่ยนตัวเองให้กับคนที่เขาชื่นชมเท่านั้น ครับ

... ๒. คงเป็นไปตามคำแนะนำครับว่า "ตัวอย่างดีกว่าคำสอน"

... ๓. อาจารย์ไม่ได้พูดอย่างเลื่อนลอยและเป็นนามธรรมใด ๆ ครับ สิ่งที่กล่าวมาเป็นเช่นนั้นจริง

... ๔. หัวใจที่เหมือนขาดความรักความอบอุ่น มักจะหาบุคคลมาทดแทนความรู้สึก และเชื่อโดยขาดการไตร่ตรอง

... ๕. ข้างนอกแข็งแกร่ง ข้างในเหงาหงอย

... ๖. การเป็นกระจกสะท้อนเพื่อเตือนให้รู้ตัวในสิ่งได้คิด ได้กระทำ จนเป็นนิสัย คงต้องใช้ความอดทนและเวลานานพอสมควรจริงครับ

... ๗. ผมไม่มีคุณสมบัติใด ๆ ที่ควรเป็นคนดี มีแต่ห่วง "เพื่อน" ๑ คนเองครับ

อิ อิ ... COMMENT ของอาจารย์อ่านง่ายที่สุดนะครับ ;)

ขอบคุณมากครับ ;)

อาจารย์ครับ

ผมสงสัยจริง ๆ ว่า เขาเรียนวิจัยและเป็นนักวิจัยไปทำไมครับ

วิจัยสอนให้หาคำตอบอย่างรอบคอบรัดกุมก่อนตัดสินใจตอบว่ามันเป็นอะไรอย่างไร

เขาจะวิจัยเฉพาะตอนทำวิจัยเท่านั้นหรือครับ

ดังนั้นเรียนวิจัยเพื่อวิจัย มันจะมีประโยชน์อะไรในชีวิตจริงครับ

ผมไม่ใช่นักวิจัย แต่ครูสอนว่า

เรียนวิจัยแล้วต้องใช้วิจัยตลอดเวลา

ไม่ใช่ใช้เฉพาะตอนทำวิจัยอย่างเดียว

เพ้อเจ้อไปไหมครับ....

ไม่เพ้อเจ้อหรอกครับ ท่าน หนานเกียรติ ;)

ผมเองก็คิดถึงเรื่องประเด็นนี้เช่นกัน

คนคงมีข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกันน่ะครับ

เห็นสิ่งหนึ่ง แต่ไม่เห็นสิ่งหนึ่ง

ฮึ ฮึ วิจัยสอนให้รู้จักการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล แต่คนที่ทำอะไรมานับสิบ ๆ ปี แต่รูปแบบเดิม ก็ย่อมเกิดปัญหาดั่งข้างต้นได้ครับ

ขอบคุณนะครับ ;)

ขอเป็นแค่เรือจ้างธรรมดาได้ไหมคะ เรื่องอื่นไม่รับไม่รู้ ช่วงนี้เป็นช่วงเจียมตัวไม่กล้าออกความเห็นดังๆ เพราะถูกคิดบัญชีทบต้นจากมาตรการ ฆ่าน้อง ฟ้องนายและขายเพื่อนค่ะ

ทิ้งร่องรอยในรอบ 6 เดือนนั้นก็เพียงพอแล้วครับ อาจารย์ naree suwan ;)...

ขอบคุณครับ ;)

  • แวะมาเยี่ยมค่ะ ช่วงนี้อ่านหนังสือที่ติดค้างอยู่หลายเล่ม จึงทำได้แค่เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ไม่ได้มาแหย่ รู้สึกเหงา ๆ ค่ะ อิอิอิ
  • ได้ข่าวว่าไปฉลองครบสองขวบกับชายหนุ่มมาหรือคะ  ดีใจจัง ได้พบ soulmate

Soulmate เลยหรือครับ แหม ! ... แซวซะผมเสียหนุ่มโสดเนื้อหอมหมดครับ อิ อิ ;)

ขอบคุณครับ อาจารย์นพลักษณ์ ๙ Sila Phu-Chaya ;)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท