สถานะที่แตกต่างกันของสมาชิก ( Different Status of Member )
คุณลักษณะหนึ่งที่จะเป็นตัวกำหนดผลผลิต (productivity) ของกลุ่มและความพึงพอใจของสมาชิกแต่ละคนก็คือ สถานะหรือตำแหน่งที่แตกต่างของบรรดาสมาชิก ถ้าหากทีมงานยึดที่ตั้งสะท้อนรูปแบบการปกครองแบบลำดับขั้นภายในองค์กร (hierarchy) ตามบทบาทปกติ คณะทำงานก็คล้ายจะเป็นลำดับขั้นหรือสายงานการบังคับบัญชาจากบนลงล่างแบบดั้งเดิมในองค์กร ทีมงานก็มีแนวโน้มที่จะดำเนินการต่าง ๆ ตามแบบแผนเก่า ๆ และถูกครอบงำโดยบุคคลที่มีสถานะหรือตำแหน่งที่เป็นทางการสูงสุดในกลุ่ม เหตุการณ์เหล่านี้ขัดขวางความสามารถในการบริหารจัดการแบบยึดที่ตั้งเป็นฐาน จึงควรที่จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและกระบวนการการตัดสินใจทั้งเขตพื้นที่การศึกษาและในแต่ละโรงเรียน นี่คือวิธีการที่ต้องทำให้ปรากฏ :
ประการแรก ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ “เหนือ” ครูและสมาชิกคณะทำงาน และยิ่งผู้บริหารฯ มีความประสงค์ที่จะควบคุมกลุ่ม และให้กลุ่มปรับตัวตามที่ตนเองต้องการมากเท่าใด กลุ่มก็ยิ่งจะถูกครอบงำโดยผู้บริหารฯ มากเท่านั้น นี่คือเหตุผลข้อหนึ่งที่อยากเสนอแนะอย่างมากในความเป็นจริงผู้บริหารสถานศึกษาไม่สมควรอย่างยิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคณะทำงาน ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษามีบทบาทที่สะดวกต่อการสั่งการได้มากกว่า แต่ปราศจากความรับผิดชอบต่อการประชุมเพื่อขับเคลื่อนงาน
ประการที่สอง บางโรงเรียนนิยมชมชอบการบริหารจัดการแบบยึดที่ตั้งเป็นฐาน แต่ไม่กระตือรือร้นที่จะชักชวนพ่อแม่ผู้ปกครอง และสมาชิกชุมชนมาเข้าร่วมเป็นสมาชิกทีมงาน โดยมีความเชื่อหรือทัศนคติว่าในเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนและโครงการการศึกษาและบริการนั้นว่า “เราเป็นผู้เชี่ยวชาญ” ด้วยเหตุนี้ บ่อยครั้งผู้ปกครองจึงรู้สึกว่าตนไม่ได้รับการคาดหวังต้องการให้เข้าไปมีส่วนร่วมหรือไม่ได้รับการมองเห็นคุณค่าอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงจะต้องมีการให้ความใส่ใจในการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ปกครองและสมาชิกอื่น ๆ ในชุมชนให้มากเป็นพิเศษ
ประการที่สาม นักเรียนดูเหมือนว่าจะมีอำนาจน้อยที่สุด หรือถูกจัดลำดับความสำคัญไว้ท้ายสุดในโรงเรียน ด้วยเหตุนี้ จึงควรที่จะให้การฝึกอบรมทักษะการเป็นผู้นำ ตลอดจนทักษะการแก้ปัญหา และทักษะการคิดอย่างเป็นระบบให้นักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็นสมาชิกคณะทำงาน และปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินการเช่นว่านี้ จะทำให้แนวคิดที่มุ่งเน้น “ผู้เรียนเป็นสำคัญ” บังเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน
ประการที่สี่ ในบางเขตพื้นที่การศึกษา โรงเรียน คณะกรรมการอำนวยการสถานศึกษา
( ประธานคณะกรรมการสถานศึกษา ) ได้เข้าไปเป็นสมาชิกทีมงานด้วย สิ่งนี้พึงหลีกเหลี่ยงให้มากที่สุด เพราะบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าวแตกต่างจากบทบาทของสมาชิกทีมงานยึดที่ตั้งเป็นฐานเป็นอย่างมาก ซึ่งเน้นที่ตั้งเป็นสำคัญ (site central) จึงเป็นการยากที่สมาชิกกลุ่มเช่นว่าจะดำเนินงานต่าง ๆ ตามบทบาทหน้าที่สองลักษณะนั้นในเวลาเดียวกัน และการที่คณะกรรมการอำนวยการสถานศึกษาโดยทั่วไปมีแนวโน้มที่จะยึดถือปฏิบัติตามโครงสร้างการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมที่เน้นการดำเนินการตามสายงานการบังคับบัญชาแบบจากบนสู่ล่างอย่างเคร่งครัด ก็อาจก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจ และความเชื่อถือในหมู่สมาชิกอื่น ๆ ของทีมงานที่ยึดที่ตั้งเป็นสำคัญตั้งแต่แรก ยิ่งไปกว่านั้นว่า “สวมหมวกสองใบ” ในเวลาเดียวกัน ก็จะเป็นการยากที่จะทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากแต่ละบทบาทหน้าที่ต่างก็ต้องการการทุ่มเทเวลาให้อย่างเต็มที่
สรุปแล้วก็คือ ในการคัดเลือกสมาชิกทีมงานยึดที่ตั้งนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาหรือคณะกรรมการพิเศษ จะต้องมีการหยิบยกเอาเรื่องตำแหน่งหน้าที่ที่มีอยู่เดิมของผู้ที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกกลุ่มขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบด้วย เนื่องจากสถานะหรือตำแหน่งที่เป็นทางการของสมาชิกกลุ่มนั้นจะส่งอิทธิพลต่อกลุ่มในอนาคต
บรรทัดฐานกลุ่ม (Group Norms)
นับว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะมีการตั้งบรรทัดฐานสำหรับสมาชิกทีมงาน ซึ่งบรรทัดฐานดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ทำให้บรรดาสมาชิกของกลุ่มรู้อย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มแรกเข้ามาเป็นสมาชิกว่ากลุ่มมีความคาดหวังการมีส่วนร่วม ความคาดหวังเหล่านี้ทำให้สมาชิกมีสถานะที่แตกต่าง บุคคลหรือกลุ่ม เขาหรือเธอที่สามารถช่วยเหลือคณะทำงาน จะต้องระบุแนวทางโดยสังเขปว่า สมาชิกของกลุ่มที่มีสถานะและศักยภาพแตกต่างกันไปนั้นจะทำงานร่วมกันและสร้างความสำเร็จของกลุ่มตามบทบาทหน้าที่และความรู้ความสามารถของตนได้อย่างไร อีกอย่างหนึ่งทีมที่มีอยู่ควรปรับปรุงตามคำบอกกล่าวตั้งแต่ทีแรก
โดยพื้นฐานแล้ว บรรทัดฐานกลุ่มส่วนหนึ่งคือการมีส่วนร่วม พฤติกรรมเหล่านั้นคล้ายกับว่าเป็นของผู้บริหารสถานศึกษา นั่นคือเชื่อว่าต้องเป็นนักพัฒนา มีอธิบายเพิ่มเติมใน Chapter 7
( ดูในหน้า 86 ) ต้องเป็นบรรทัดฐาน พิเศษสำหรับกลุ่ม การมีส่วนร่วมได้จากประวัติบริบทของโรงเรียนและประวัติบุคลากร สิ่งเหล่านี้ควรระบุและบอกให้รับทราบในตอนเริ่มต้น
การกำหนดภารกิจ ( Work Setting )
ประเด็นเรื่องสุดท้ายที่จะต้องนำมาพิจารณาเพื่อที่จะระบุให้แน่ชัดในระหว่างการฟอร์มทีมงานสนามก็คือเรื่องระยะเวลา สถานที่ และความถี่ของการประชุมทีมงาน ในการนี้ จะต้องมีการย้ำเตือนผู้ที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกกลุ่มให้มีความตระหนักถึงหน้าที่รับผิดชอบของสมาชิกทุกคนที่จะต้องเดินทางมาประชุมให้ตรงเวลาเพื่อกำหนดภารกิจในวันเวลาที่กำหนด
สรุป ( Summary )
ใบงานที่28 เป็นการเตรียมการวางแผนเพื่อกำหนดโครงสร้างและสมาชิกของทีมงาน มันจะเป็นไปได้ถ้าทำใบงานที่ 27 และ 28ให้สมบูรณ์ สำหรับการเลือกสมาชิกของทีมงานนำองค์ประกอบหรือข้อพิจารณาต่าง ๆ มาประกอบการวางแผนดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะต้องมีการพินิจพิจารณาถึงบทบาทหน้าที่ของทีมงาน โครงสร้างของทีมงาน และกระบวนการคัดเลือกสมาชิก และหากเป็นไปได้ จะต้องนำทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของการตัดสินใจกลุ่ม มาประกอบการพิจารณาด้วย
นับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางแผนกลุ่มในอันที่จะต้องมีการแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ชุมชนโรงเรียนทราบอยู่เสมอ สมาชิกของกลุ่มอาจจะได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการวางแผน ผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มหรือคณะทำงานที่มีอยู่แล้ว หรืออาจจะได้รับการคัดเลือกจากคณะครูและองค์กรอื่น ๆ ที่อยู่ในโรงเรียน เป็นต้นว่า สมาคมผู้ปกครอง ซึ่งไม่ว่าจะมีการวางแผนจัดตั้งทีมงานสนามทีมใด ก็จะต้องมีการแจ้งวัตถุประสงค์ของทีมงานสนามและเกณฑ์การคัดเลือกสมาชิกของทีมงานนั้นให้ทราบกันโดยทั่วไปอย่างชัดเจน เพื่อให้กระบวนการคัดเลือกเป็นกระบวนการที่เปิดกว้างและโปร่งใส มิเช่นนั้นแล้ว จะส่งผลกระทบในทางลบต่อความเชื่อถือในทีมงานเป็นอย่างมาก
ใบงานที่ 28
การนิยามโครงสร้างและสมาชิกภาพของทีมงานสนาม
จงระบุถึงการตัดสินใจหรือการแก้ปัญหาและเหตุผลสนับสนุนสำหรับแต่ละรายการ
รายการ |
การตัดสินใจหรือแก้ปัญหา |
|
เหตุผล |
ขนาดของกลุ่ม |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ความหลากหลายของกลุ่ม |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เกณฑ์การคัดเลือกสมาชิก |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สถานะของสมาชิก |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
บรรทัดฐานของกลุ่ม |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การกำหนดภารกิจ |
|
|
<td style="border-right: #ece9d8; padding-right: 5.4pt; border-top: #ece9d8; padding-left: 5.4pt; padding-bottom: 0in; border-left: #ece9d8; width: 1.5in; padding-top: 0in; border-bottom: windowtex
ไม่มีความเห็น