สรุปการเดินทางของคำร้องขอแปลงสัญชาติของ อ.อายุ นามเทพ
๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๘ ยื่นคำร้อง แบบ ป.ช.๑ ณ สำนักงานตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่
๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหนังสือที่ ตช. ๐๐๒๘.๑๖๑/๒๔๙๙ เรื่องการขอแปลงสัญชาติเป็นไทย รายนางอายุ นามเทพ ถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยรับเรื่องไว้ปรากฎตามเลขรับที่ ๕๐๔๓๑ และส่งเรื่องต่อไปยังส่วนประสานราชการ สำนักกิจการความมั่นคงภายใน
๖ กรกฎาคม ๒๕๔๙ ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการประทรวงมหาดไทยเพื่อติดตามความคืบหน้าในการร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ครั้งที่ ๑
๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๙ มีการพิจารณาคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทยโดยคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทย กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการประทรวงมหาดไทยเพื่อติดตามความคืบหน้าในการร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ครั้งที่ ๒
๑๕ กันยายน ๒๕๕๑ ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการประทรวงมหาดไทยเพื่อติดตามความคืบหน้าในการร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ครั้งที่ ๓
๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ สำนักกิจการความมั่นคงภายใน มีหนังสือที่ มท. ๐๓๐๘.๔/๘๐๕๓ แจ้งไปยังอาจาย์อายุว่า ได้รับเรื่องการขอแปลงสัญชาตเป็นไทย คืนจากสำนักงานรัฐมนตรีฯ เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยังไม่ได้ใช้ดุลยพินิจสั่งการและมีการเปลี่ยนแปลงตัวรมต. เรื่องของ อาจารย์อายุจึงอยู่ระหว่างรอการเสนอให้คณะกรรมการกลั่นกรองสัญชาติ(ตามกฎหมายใหม่)มีความเห็นก่อนที่จะเสนอรมต.พิจารณาใช้ดุลพินิจ
พ.ศ. ๒๕๕๑ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองสัญชาติตามมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่๔)พ.ศ.๒๕๕๑
๔ มีนาคม ๒๕๕๒ คณะกรรมการกลั่นกรองสัญชาติส่งเรื่องกลับมา สนมน.
สนมน.ส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
ส่งต่อไปยังรองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภาระกิจความั่นคง
ส่งต่อสำนักงานรัฐมนตรี
ส่งต่อเลขานุการรัฐมนตรี
เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนาม
[1] อาจารย์อายุ นามเทพ ยื่นคำร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สถานีตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๘
เห็นจังหวะก้าวย่างแล้ว สงสัยว่า ถึงวันนี้ได้มีการติดตามเรื่องบ้างหรือไม่ ขณะนี้คำร้องของอาจารย์อายุ อยู่ในกระบวนการพิจารณาของระดับไหนบ้างแล้ว เพราะเงื่อนไข 5 ข้อของการแปลงสัญชาติ ก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย รัฐมนตรีฯ มหาดไทย มาสร้างกฎเกณฑ์ที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด น่าจะฟ้องศาลปกครองขอให้พิจารณายกเลิกแนวทางการใช้ดุลพินิจที่มีโอกาเป็นไปได้ยาก แม้ว่าศาลปกครองชั้นต้นจะเคยพิพากษาว่า เป็นอำนาจในการใช้ดุลพินิจแล้วก็ตาม แต่ผู้ฟ้องคดีคนก่อนอาจจะไม่ได้อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เลยยังไม่มีคำพิพากษาที่ถึงที่สุด เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ของกรมการปกครอง(บางคน)นำมาใช้อ้างได้ เรื่องนี้ ควรมีการสัมมนาทางวิชาการ เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม เพราะผู้รับผิดชอบในปัจจุบัน ก็ตอบไม่ได้ว่า ทำไมแนวทางการพิจารณาของรัฐมนตรีฯ จึงมีข้อกำหนดต่างๆ ไว้เกินกว่าความเป็นจริง เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด น่าจะฟังเสียงของสังคม และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ไม่ใช่จะเอาตามใจของใครบางคนเท่านั้น ไม่เช่นนั้น ก็ปิดกั้นกันทุกทาง มาร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสมนะครับ ถ้าเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติ คณะแรกที่หมดวาระไปแล้ว คำร้องของอาจารย์อายุฯ อยู่ในการพิจารณานานมาก และคงไม่ใช่รายเดียวที่นานเช่นนี้ คนต่างด้าวบางรายกว่าจะได้รับการสัมภาษณ์จากคณะอนุกรรมการฯ พบว่า รอนานเป็นเวลาถึง 10 ปี หลังจากยื่นคำร้องไว้ มีคำถามที่โดนใจ คือ ทำไมนานขนาดนี้ แล้วยังมีที่ยังไม่ได้พิจารณาในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในกรณีของคนต่างด้่าวทั่วไป และในความรับผิดชอบของอำเภอ จังหวัด มาที่กรมการปกครอง อีกเท่าไหร่ ได้คำตอบเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 ว่า มีคำร้องที่อยู่ที่กรมการปกครอง รอพิจารณา 1,000 กว่าราย ส่วนที่อยู่ระดับอำเภอและจังหวัดไม่ทราบ ส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ยังไม่สามารถตอบได้ในวันนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำอย่างไรที่จะปรับปรุงกระบวนการพิจารณาให้มีประสิทธิภาพ เพราะบางเรื่องเช่น การขอถือสัญชาติตามสามี(มาตรา 9) หรือขอแปลงสัญชาติในกรณีที่เป็นสามีของหญิงไทย(มาตรา 11(4))จะต้องถูกละเมิดสิทธิการก่อตั้งครอบครัวไปอีกนานเท่าใด กรมการปกครองและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรเพิ่มบุคลากร ควรปรับโครงสร้างส่วนนี้ หรือยุบรวมทั้งสองหน่วยนี้ ตั้งเป็นหน่วยงานใหม่ซะเลย จะดีมั๊ย