อาณาจักรมัชปาหิต (ค.ศ. 1293 – 1520) เป็นอาณาจักรสุดท้ายที่เจริญทางด้านอารยธรรมฮินดูชวาและมีอำนาจสูงสุดในประวัติศาสตร์ในหมู่เกาะอินโดนีเซีย ก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามาขยายอิทธิพลในบริเวณดินแดนนี้
มัชปาหิตถือว่าเป็นตัวแทนของอาณาจักรสิงหัสส่าหรี (ค.ศ. 1222 – 1292) ในการดำเนินนโยบายในการแผ่ขยายอาณาเขตไปยังเกาะอื่น ๆ ในหมู่เกาะอินโดนนีเซียเขามาเป็นสมาพันธรัฐ แต่การขยายอำนาจนั้นมัชปาหิตต้องประสบกับปัญหาการก่อการกบฏภายในอาณาจักเองหลายครั้ง รัฐต้องใช้เวลาปราบอยู่หลายปี ผู้ที่มีความสามารถและมีส่วนสำคัญในการสร่างความเจริญรุงเรื่องให้แก่อาณาจักมัชปาหิตหาใช้กษัตริย์ดังเช่นอาณาจักรอื่น ๆ ไม่ แต่เป็นเอกอัครมหาเสนาบดี ชื่อ คชา มาดา (Gaja mada) ซึ่งมีอำนาจอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1330 – 1365
คชา มาดา คือนายทหารหนุ่มที่สร้างชื่อจากการปราบกบฏพวก Anti-Foreign Party โดยมี Kuti ข้าราชการในราชสำนักเป็นผู้นำในปี ค.ศ. 1319 หลังจากปราบกบฏและช่วยเหลือกษัตริย์มัชปาหิตได้ เขาก็ได้เลื่อนฐานะใหญ่โตขึ้นจนกลายเป็นเอกอัครเสนาบดี และมีอำนาจมากในแผ่นดินมัชปาหิต
ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรที่นำโดย คชา มาดา มีดังต่อไปนี้
ด้านการเมืองการปกครอง
มีการขายอาณาเขตไปทั่วเกาะชวา ได้ครอบครองดินแดนเดิมของอาณาจักรศรีวิชัย คือ สุมาตรา แหลมมาลายู บอร์เนียว ซุนดา ภาคใต้ของเกาะเซเลเบส โมลุกะ ฯลฯ และยังปกครอง ชวา มาธะรัม บาหลีโดยตรง
ใช้กำลังทางการทหารเป็นเครื่องมือในการก่อตั้งจักรวรรดิ แทนการใช้ความเชื่อทางศาสนา ดังเช่นที่พระเจ้าเกียรตินครแห่งอาณาจักรสิงหัสสาหรีเคยใช้
สถาปนาสมาพันรัฐอินโดนีเซีย โดยมีศูนย์กลางการปกครองที่มัชปาหิต นับว่าเป็นการสร้างอำนาจอันยิ่งใหญ่ให้กับอาณาจักรมัชปาหิต
มีการจัดระเบียบการปกครองภายในไว้เป็นสัดส่วน โดยการแยกตุลาการ การคลัง การทหาร การเกษตรออกจากกัน ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน สร้างความคล่องตัว เสริมความสามารถของหน่วยงานต่าง ๆ ให้มีปะสิทธิภาพอย่างเต็มที่
มีการจัดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำงานในตำแหน่งต่าง ๆ มีเงินเดือนตอบแทน เพื่อเป็นการลดอำนาจเจ้านายตัดปัญหาการแย้งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน
มีการสำรวจสำมะโนประชากร เพื่อจัดแบ่งประชาชนให้เป็นชนชั้นต่าง ๆ
จัดสรรอาชีพให้เหมาะสมแก่ประชาชนในแต่ละชนชั้น
ทำนุบำรุงการทหาร สร้างแสนยานุภาพให้แข็งแกร่ง
ด้านกฎหมาย
มีการออกกฎหมายช่วยเหลือการเกษตร ป้องกันที่ดินในการเพาะปลูก
จัดรูปแบบมาตรการในการจัดเก็บภาษี
การรวบรวมตัวบทกฎหมายขึ้นมาใหม่ โดยได้ดัดแปลงกฎหมายชวาเดิม ผสมผสานกับคำภีร์ธรรมศาสตร์ของอินเดียที่ใช้เป็นแม่บทในการตัดสินคดี ความ พัฒนาการพิจารณาคดีความให้มีความยุติธรรมมากขึ้น
ด้านการทูตและการค้า
ได้มีการสร้างสัมพันธไมตรีทางการค้ากับอาณาจักรใกล้เคียงเช่น อยุธยา พม่า เขมร จามปา และเวียดนาม และดินแดนไกล ๆ เช่น จีน อินเดีย เปอร์เชียร์ ซึ่งเป็นผลงานสำคัญของคชา มาดา ทำให้อาณาจักรมัชปาหิตหมดห่วงเรื่องการรุกรานจากภายนอก ความมีเสถียรภาพทางการเมืองส่งผลให้เศรษฐกิจของมัชปาหิตดี
การที่มัชปาหิตควบคุมดินแดนต่าง ๆ ในบริเวณหมู่เกาะอินโดนีเชีย จึงทำให้ มัชปาหิตกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าระหว่างตะวันตกกับตะวันออก และเป็นศูนย์กลางของสินค้าพื้นเมืองในแถบนี้ด้วย สินค้าสำคัญคือเครื่องเทศ เกลือ น้ำมันไม้หอม งาช้าง ฝ้าย ดีบุก และตะกั่ว ฯลฯ
อักษรศาสตร์ และงานทางการบันทึกประวัติศาสตร์
ได้มีการสนับสนุนนักบวชชื่อ Prapancha แต่งหนังสือโครงชื่อ นครเกียรติคม ในปี ค.ศ. 1365 เพื่อถวายเป็นเกียรติแก่พระเจ้าฮายัม วูรุก โดยบันทึกเรื่องราวความเป็นมาของมัชปาหิตอย่างละเอียด และเพื่อให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของตน
ศาสนา
นับถือศิวพุทธ แต่ได้สอดแทรกความเชื่อเดิมเข้าไปด้วยคือ เอาเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์เป็นภาคหนึ่งของศิวะ เอาวิญญาณบรรพบุรุษของคนสำคัญไปรวบกับบุคคลในมหากาพย์ขออินเดีย เช่นพระอรชุน เป็นต้น
เมื่อคชา มาดาถึงแก่อนิจกรรมในปี ค.ศ. 1364 อาณาจักรมัชปาหิตก็เสื่อมอำนาจลง อำนาจหน้าที่ที่เคยเป็นของคชา มาดา ก็ถูกกระจายออกไปสู่เสนาบดี 4 คน จึงทำให้ไม่มีเอกภาพในการบริหารประเทศ อีกทั้งเมื่อสิ้นพระเจ้าฮายัม วูรุก พระองศ์ไม่มีรัชทายาทจึงเกิดการแก่งแย้งชิงราชสมบัติของชนชั้นเจ้านาย เกิดสงครมกลางเมือง และการแข็งข้อจากบรรดาหัวเมืองตามเกาะต่าง ๆ รวมถึงการแผ่ขยายอำนาจของอาณาจักรไทย ทำให้อำนาจของมัชปาหิตเสื่อมลงไปมาก เมื่อถึง ค.ศ. 1520 อาณาจักรมัชปาหิตก็เสื่อมลง หมู่เกาะต่าง ๆ ก็ตั้งตัวเป็นอิสระ
หลังจากนี้ไปก็ไม่มีอาณาจักรใดในอินโดนีเซียตั้งอาณาจักรขึ้นมาได้อีก อีกทั้งชาติตะวันตก ก็ค่อย ๆ ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาจับจองแสวงหาผลประโยชน์และขยายอำนาจในดินแดนแห่งนี้ตามลำดับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุรครับ กำลังทำรายงานเรื่องนี้อยู่พอดีเลย
ขอบคุณค่ะกำลังทำรายงานอยู่พอดี