ทบทวนวรรณกรรม ตำนานกล้วยหอมทอง ส่งออกญี่ปุ่น เพื่อประกอบบทเรียน ให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น จำได้ว่าอาจารย์เสน่ห์ โสดาวิจิตร ซึ่งปัจจุบันท่านเป็นอาจารย์ประจำวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี ท่านเรียกผมว่าพ่อและโทรศัพท์ ถามสารทุกข์ สุขดิบ อยู่เป็นประจำ หลายปีมาแล้วท่านได้มอบหนังสือรายงาน ที่นักศึกษาจัดทำส่งอาจารย์ ประจำหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณทิต(เศรษฐศาสตร์และสหกรณ์) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้แก่ผม 1 เล่ม ชื่อเรื่อง ว่า การศึกษาการพัฒนาธุรกิจส่งออกกล้วยหอมทองปลอดสารพิษ ของสหกรณ์การเกษตรท่ายาง จำกัด จังหวัดเพชรบุรี จัดทำโดย นางสาวกชามาศ สุสุทธิ
ขอนำภาพรวมกระบวนการส่งออก ของสหกรณ์ท่ายางกับ สหกรณ์โตโต้ มาให้ท่านได้ศึกษาประกอบไปด้วย
การกำหนดกระบวนการด้านการผลิต เนื่องจากสหกรณ์ท่ายาง เป็นองค์กรที่ การจัดการทุกอย่างเป็นระบบอยู่แล้ว มีแผนผังสมาชิก ทั้งการแบ่งโซนและการแบ่งกลุ่มย่อย ดังนั้นเมื่อยามาโมโต้ นำเสนอ กิจกรรมที่ทำแล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่า จะได้ผลกำไร ทั้งที่นับมูลค่าได้คือเงิน และ กำไรที่ประมาณค่ามิได้คือความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นกับองค์กรและสมาชิก มองเห็นกำไรทุกด้านแล้ว คณะกรรมการบริหารจึงมีมติตกลงส่งเสริมให้สมาชิก ปลูกกล้วยหอมทองปลอดสารพิษเพื่อส่งไปยังสหกรณ์ผู้บริโภค โตโต้ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น การส่งเสริมเริ่มต้นด้วย การวางแผนการผลิต โดยคัดกรองสมาชิกที่มีความพร้อมในด้านการปลูก สมัครใจที่จะปลูกกล้วยปลอดสารพิษ
ซึ่งก็มีขั้นตอนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้แก่ 1 ประชุมสมาชิกที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นบัญชีไว้ มีสามฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมคือ ผู้ประสานงาน สหกรณ์ผู้บริโภคโตโต้ และองค์กรผู้ผลิต สมาชิกสหกรณ์ท่ายาง หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยน ทำความเข้าใจกันอย่างชัดเจน ก็ให้สมาชิกที่สนใจจริงสมัครเข้าสู่โครงการ ทางสหกรณ์ก็ได้ประสานงานผู้รู้ ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการปลูกพืชปลอดสารเคมี มาอบรมให้ความรู้ แก่สมาชิก หลังจากสมาชิกเต็มใจและตั้งใจปลูก ก็จัดทำหนังสือสัญญาการผลิตและการส่งผลผลิตให้กับสหกรณ์และ จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับทำสัญญา
กระบวนการที่สำคัญคือ ข่าวสารการดำเนินงานทุกขั้นตอน รวมถึงข้อมูลสมาชิกผู้ปลูกกล้วย ได้ถูกส่งไปให้ผู้บริโภคได้รู้ตลอดเวลา และมีการทดลองส่งออกทางเครื่องบิน ครั้งแรก 500 กิโลกรัม และส่งไปใหม่อีกครั้ง การทดลองส่งออก ครั้งแรกล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะเกิดความเสียหายหมด พันเอกสุรินทร์ ชลประเสริฐ ได้ประสานกับกองโรคพืชและจุลชีววิทยา กรมวิชาการเกษตรในสมัยนั้น เข้าไปช่วยเหลือดูแล จนสามารถผ่านการตรวจจากด่านตรวจกักกันพืชที่ญี่ปุ่นได้ เมื่อประสพผลสำเร็จแล้ว การทำพิธีลงนาม ในสัญญาซื้อขายกล้วยหอมทองปลอดสารพิษ ระหว่างสหกรณ์ผู้บริโภค และสหกรณ์การเกษตรท่ายาง จึงมีขึ้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2536 ณ โรงแรมรีเจนซี่ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และหลังจากได้ทำการผลิตกล้วย ได้ร่วมกันปรับปรุงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งสองด้าน คือระหว่างสมาชิกสหกรณ์ผู้บริโภคโตโต้ กับสมาชิกผู้ปลูกกล้วย การเดินทางไปเรียนรู้ กับผู้บริโภคในประเทศญี่ปุ่น ของกรรมการบริหาร และการเดินทางมาร่วมกิจกรรมที่ท่ายาง ของตัวแทนสมาชิกผู้บริโภค ก็เกิดการประชุมสรุปผล และลงนามทำสัญญาซื้อขาย ครั้งที่ 2 เมื่อ วันที่ 17 ตุลาคม ปี 2538 ขณะนั้น การส่งออกตกอยู่ที่ปริมาณ 27 ตัน ต่อเดือน
สุดท้ายนี้ผมก็ขอบอกเล่าเรื่องราวที่ผมพอรู้มาเกี่ยวกับกระบวนการของสหกรณ์ท่ายาง กับสหกรณ์ผู้บริโภคโตโต้ ที่มีความเหมือนกันในรูปแบบการจัดระบบตลาด แต่ศักยภาพด้านการส่งเสริมการผลิตของสหกรณ์ท่ายางนั้น เต็มเปี่ยม สมบูรณ์แบบ มีความพร้อมแทบทุกด้าน ดังนั้นความประทับใจจากบทเรียนที่เกิดขึ้น จึงมีเพียงการนำกระบวนการที่ในญี่ปุ่นได้ทำกันจนเป็นเรื่องปกติ มาทดลองใช้ที่ท่ายางเรียกน้ำย่อยเล็กๆน้อยๆให้กับยามาโมโต้ ว่างั้นเถอะ
ความบริสุทธิ์ ความว่างเปล่า อย่างพื้นที่ในอำเภอละแม ซึ่งไม่เคยพานพบกิจกรรมเหล่านี้ ถ้าเปรียบเป็นหญิงสาว ก็เหมือนกับเด็กสาวพรหมจารีแสนบริสุทธิ์ การได้เป็นพ่อสื่อแม่ชักให้หนุ่มอาวุโสอย่างสหกรณ์โยโดงาว่า มาร่วมสร้างสรรค์ สมสู่ จนเกิดผลผลิตใหม่ขึ้นมา ซึ่งหากเปรียบกล้วยหอมทองเหมือนคน ก็จะเปรียบได้ดังว่า เป็นบุตรที่เกิดขึ้นจากการแต่งงานของคนสองคน การที่ได้แนะนำปลูกฝังเชื่อมโยงจนทั้งสองฝ่ายเข้าใจกัน ตกลงใจสู่ขอ (ลงนามในแถลงการณ์ร่วม)และเข้าพิธีวิวาห์ สร้างครอบครัว โดยทั่วไปพ่อสื่อแม่ชักเมื่อทำหน้าที่จนทั้งคู่เข้าสู่พิธีวิวาห์ แล้วก็ไม่สนใจอีกต่อไป แต่พ่อสื่อคนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ต้องทำหน้าที่สอดส่งดูแลครอบครัวใหม่ชนิดไม่วางตา เพื่อให้ได้บุตรที่ดี(กล้วยหอมทองปลอดสารเคมี) และแถมยังช่วยตลอดมาชนิดเรียกว่าหากลูกที่เกิดมาไม่ดีจริงจะไม่ยอมวางมือ ว่างั้นเถอะ
ผมเขียนเรื่องราวมาถึงสามตอนแล้ว เอ่ยถึง ยามาโมโต้ กับจุลโคยาม่ามาตลอดโดยไม่ได้บอกกล่าวให้เจ้าตัวรับรู้ ซึ่งท่านทั้งสองคงมองผมเหมือนกับเพื่อนคนไทยคนหนึ่ง แต่ในความคิดของท่านจะมองผมในทางลบอย่างไรบ้างผมไม่ทราบ แม้ว่าผมจะไม่ได้ร่วมกิจกรรมกับท่านมาตั้งแต่ปี 2544 แต่ผมเป็นคนไทยอีกคนหนึ่งที่สนใจกระบวนการด้านการตลาดไม้ผลของท่าน
ตั้งแต่ได้ทำกิจกรรม ร่วมกับยามาโมโต้มา ทำให้ผมเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบ การส่งเสริมการตลาดไม้ผลของพี่น้องเรามาตลอดเวลา ชีวิตที่ชอกช้ำแล้วชอกช้ำอีกของพลเมืองภาคเกษตร ซึ่งหมายรวมถึงตัวผมและบรรพบุรุษของผม ผลผลิตที่ดีจากเกษตรกรดีๆ แทบทุกอย่างเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง ก็ถูกนำไปกองรวมไว้กับพ่อค้าแม่ค้าที่รอรับซื้อริมถนนด้วยราคาเท่าเทียมกันกับผลผลิตห่วยๆ อย่างดีก็มีการนำไปประชาสัมพันธ์ทางสื่อในฐานะของผลไม้ราคาถูกให้ประชาชนทั่วไปฮือฮากันไปซื้อ งบประมาณที่ถูกส่งลงสู่การจัดการให้เกิดการตลาดไม้ผล ช่วยเหลือเกษตรกร ปีแล้วปีเล่า ก็ไม่เคยได้เห็นผล สนองตอบที่เกิดขึ้น ต่อเม็ดเงินที่จัดสรร องค์กรที่เป็นสถาบันต่างๆ แทบจะไม่ได้ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการตลาดให้กับเกษตรกร มุ่งแต่การพัฒนาส่งเสริมผลผลิตอย่างไม่มีการจัดการระบบข้อมูลการผลิตได้ชัดเจน แต่ว่าไปแล้ว ผมยังรู้สึกสบายใจเมื่อเปิดเวบซ์ไซด์จังหวัดจันทบุรี แล้วได้เห็นการจัดการระบบข้อมูลไม้ผลของจังหวัด สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของตลาดไม้ผล มังคุด เงาะ ทุเรียน ตั้งแต่ปริมาณพื้นที่ปลูก ปริมาณพื้นที่ที่ได้รับผลผลิต ปริมาณผลผลิตที่ออก ผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับ ผลผลิตที่ออกสู่ตลาดวันแรกเปรียบเทียบกับผลผลิตที่คาดการไว้ ราคาผลผลิตที่ได้รับตั้งแต่วันแรก ชนิดเรียกว่าเก็บข้อมูลกันทุก 2 วัน ซึ่งภาครัฐเพียงอย่างเดียวคงทำไม่ได้ แต่น่าจะเกิดจากความร่วมมือของผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับไม้ผลทั้งหมดทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ปลูก ผู้รับซื้อ ผู้ส่งออก ทุกกลุ่มสามารถเรียนรู้เข้าใจกันได้ และปรับเป้าหมายในการสร้างสุขร่วมกันได้ในระดับหนึ่ง
อาจารย์ไอศูรย์ครับอาจจะออกนอกลู่นอกทางเรื่องกล้วย แต่หากได้ระบายความรู้สึกออกมาบ้าง มันทำให้รู้สึกสะบายเขียนต่อไปได้โดยไม่อึดอัด ขอความอนุเคราะห์ตรวจสอบและวิจารณ์ต่อ ณ ครับ
มาอ่านเรื่องดีๆมีประโยชน์
สวัสดีครับ
อ.ไอศูรย์ ภาษยะวรรณ์