วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ฝนตกลงมาในพื้นที่ อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา อย่างไม่ลืมหูลืมตา บวกกับสายลมที่พัดโหมกระหน่ำ ทำให้ต้นยางพาราที่ปลูกไว้ในสวนหลังตึกไหวเอนเหมือนกับจะต้านแรงลมไว้ไม่อยู่ ฉันถอนหายใจ เมื่อนึกถึงการย่างเข้าสู่ฤดูฝนที่ยาวนานตลอดฤดูกาลนี้ “ดินแดนแห่งฝนแปด แดดสี่”
ความกังวลและเป็นห่วงเหล่าเด็กนักเรียนตัวน้อยๆเริ่มเข้ามาเกาะกุมหัวใจของฉัน ใช่! ฉันกังวลและเป็นห่วงเด็กเหล่านี้ กลัวว่าพวกเขาจะไม่สบายและไม่สามารถเดินทางมารับการฝึกกิจกรรมที่ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต คามิลเลียน โซเชียล เซนเตอร์ ตะกั่วป่าแห่งนี้ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น วันนี้ฉันคงรู้สึกห่อเหี่ยว ศูนย์ฯที่สร้างขึ้นเพื่อบำบัดและจัดกิจกรรมฟื้นฟูให้กับเด็กผู้พิการที่เข้าร่วมโครงการกลุ่มนี้คงเงียบงัน ปราศจากเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และเสียงร้องกระจองอแง
ไม่น่าเชื่อเลยว่าความรู้สึกผูกพันเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับตัวฉัน หรืออาจเป็นเพราะคำว่า “คุณครูแอน” ที่เด็กๆเรียกขานกันจนติดปาก ถูกจารึกลงในหัวใจของฉัน ระยะเวลาเพียง 10 เดือนที่ฉันได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่เป็นคุณครูของเด็กกลุ่มนี้ เด็กที่ถูกมองจากสังคมวงนอกว่าเป็นเพียง “เด็กผู้พิการ” แต่ความคิดนี้มันไม่เคยซึมซับอยู่ในสมองของฉันเลย ในทางตรงกันข้าม ความใสซื่อบริสุทธิ์และความไร้เดียงสาของเด็กๆ กลับทำให้ฉันมองพวกเขาเป็นกลุ่มเด็กพิเศษที่ยังคงเป็นเด็กนักเรียนตัวน้อยๆซึ่งต้องการความรักและความเข้าใจมากกว่าเด็กปกติด้วยซ้ำไป สิ่งเหล่านี้กระมังที่เหมือนจะถูกบันทึกเข้าในสมองและคอยตอกย้ำให้ฉันรู้สึกว่า “ความรักและการสัมผัสที่อบอุ่นอาจเยียวยาให้พวกเขามีพัฒนาการที่ดีขึ้น”
ฉันก้าวเดินออกมายืนรอเด็กๆตรงประตูทางเข้าตึกชั้น 2 เมื่อถึงเวลาปกติที่เด็กจะมาถึงศูนย์ฯแห่งนี้ แต่วันนี้ดูเหมือนการรอคอยของฉันมันช่างยาวนานนัก ทั้งที่เวลาก็เดินล่วงหน้าไปเพียง 10 นาที ฉันยังคงยืนนิ่งและเพ่งสายตาจับจ้องไปที่ถนนทางเข้าศูนย์ฯ ผ่านสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ละอองของน้ำฝนที่กระเซ็นมากระทบผิวกายของฉันได้นำพาความเย็นแทรกซึมผ่านผิวหนังก่อเกิดเป็นอาการหนาวสั่นจนฉันต้องห่อไหล่เข้าหากัน ความเงียบและบรรยากาศที่ฉันกำลังสัมผัสอยู่นี้ ทำให้หูฉันแว่วได้ยินเสียงมาตามสายฝน “น้องปั้นขึ้นตึกไปกับครูแอนก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะไปช่วยครูอุ้มพี่บู้ลงจากรถก่อน”
แล้วภาพของผู้หญิงผมยาวหยักศกที่ถูกมัดรวบไว้ทางด้านหลัง ผิวคล้ำ สูงประมาณ 150 กว่าๆ อายุราว 33-35 ปี ที่ช่วยยกน้องบู้ลงจากรถด้วยความทุลักทุเลก็ปรากฏเด่นชัดขึ้น เธอเหมือนถูกย่อขนาดให้เล็กลงในทันที เมื่อเทียบกับความสูงและขนาดร่างกายของน้องบู้ ฉันย้อนนึกถึงเหตุการณ์วันแรกที่ฉันได้พบกับแม่ของน้องปั้นซึ่งฉันเรียกเธอว่า “พี่ติ๊ก”
ครั้งแรกที่ได้พบกัน พี่ติ๊กพาน้องปั้นมารับการตรวจร่างกายจากทีมแพทย์โรงพยาบาล ซานคามิลโล อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เพื่อประเมินพัฒนาการแรกรับก่อนที่จะเข้ารับการฟื้นฟูสภาพ ซึ่งน้องปั้นจะเป็นเด็กขี้อาย พูดไม่ได้ ไม่กล้าพบเจอผู้คน จะรู้สึกกลัวและมักจะร้องไห้ เมื่อเห็นคนแปลกหน้า จากการที่พี่ติ๊กพาน้องปั้นมารับการฝึกอย่างสม่ำเสมอ สิ่งเปลี่ยนแปลงที่พบหลังการเข้าร่วมโครงการ คือ น้องปั้นเป็นเด็กที่มีความร่าเริงมากขึ้น สามารถทำตามคำสั่งของฉันซึ่งเป็นครูฝึก ไม่ดื้อ ไม่กลัวคนแปลกหน้า กล้ารวมกลุ่มและเล่นกับเพื่อนๆ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น ไม่เอาแต่ใจและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
กำลังใจและการดูแลเอาใจใส่ของพี่ติ๊กไม่ได้หยุดอยู่ที่น้องปั้นซึ่งเป็นลูกเพียงแค่คนเดียว แต่ยังขยายวงกว้างครอบคลุมไปถึงเด็กผู้พิการคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลและช่วยเหลือเด็กๆ โดยการป้อนข้าวป้อนน้ำให้กับเด็กที่มีปัญหาด้านการใช้มือ เมื่อเด็กๆกินข้าวเสร็จพี่ติ๊กจะมาช่วยเก็บโต๊ะ กวาดพื้น เก็บถาดอาหาร หลังจากนั้นก็จะช่วยดูแลและเล่นกับเด็กๆ ระหว่างที่รอกลับบ้าน นอกจากนี้พี่ติ๊กยังซื้อขนมและเสื้อผ้ามาแบ่งปันให้กับเด็กๆที่ขัดสน การแบ่งปันของพี่ติ๊กหากได้สัมผัสเพียงผิวเผินก็ดูเหมือนเป็นการให้ที่เล็กน้อย จะมีสักกี่คนกันที่จะรู้ว่าเบื้องหลังของการแบ่งปันที่เธอทำอยู่นั้นเป็นอย่างไร? การให้ทั้งที่ตัวเธอและครอบครัวก็มีขีดจำกัดทางด้านกำลังทรัพย์ แต่เธอก็พยายามดิ้นรนหาทางช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเห็นได้จากการออกเรี่ยไรเงินจากญาติและเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของเด็กคนหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการฟื้นฟูผู้พิการ
เวลาไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนกับพี่ติ๊กที่ไม่เคยจะหยุดแบ่งปัน เธอยังคงช่วยเหลือฉันและเพื่อนดูแลเด็กๆอย่างไม่ปริปากบ่น “พี่ติ๊กเป็นไงบ้างคะวันนี้” ฉันเอ่ยถามเธอขณะที่ส่งถาดอาหารให้เธอ “สนุกดีค่ะครู เด็กๆน่ารัก เหมือนได้มีลูกชายลูกสาวเพิ่มขึ้นเลยค่ะ” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มที่ระบายอยู่เต็มใบหน้า ฉันเงยหน้าและมองตามแผ่นหลังของพี่ติ๊กที่เดินถือถาดอาหารไปให้เด็กๆ แล้วเสียงพูดหนึ่งก็ดังก้องอยู่ในหูของฉันมันเป็นเสียงที่ฉันไม่เคยลืมเลือน “ขอบคุณคุณครูและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการดีๆแบบนี้ เพราะโครงการนี้ที่ทำให้น้องปั้นกลายเป็นเด็กที่ร่าเริงและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น” มันเป็นเสียงพูดอันสั่นเครือของพี่ติ๊ก
เสียงพูดอันสั่นเครือของพี่ติ๊ก ทำให้ฉันอดสะท้อนใจไม่ได้และดูเหมือนความสะท้อนใจยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น เมื่อฉันนึกถึงวันที่ได้ออกไปเยี่ยมบ้านเด็กผู้พิการร่วมกับทีมแพทย์โรงพยาบาล ซานคามิลโลที่เดินทางมาประเมินความก้าวหน้าของเด็กในแต่ละเดือน น้องปั้นเป็นเด็กคนหนึ่งในจำนวนหลายสิบคนที่เราวางแผนจะเข้าไปเยี่ยมที่บ้าน
เมื่อรถตู้แล่นใกล้จะถึงจุดหมายปลายทาง นั่นก็คือ บ้านของพี่ติ๊กและน้องปั้น ความเร็วของรถเริ่มชะลอตัวและจอดนิ่งอยู่บริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่ง ฉันก้าวลงจากรถตู้พร้อมกับถือของเยี่ยมที่เตรียมมา สายตาทั้งสองของฉันจับจ้องอยู่ที่บ้านไม้หลังหนึ่งที่ปลูกอยู่กลางท้องทุ่ง สภาพของบ้านที่เหมือนกับกระต๊อบหลังเล็กๆที่ยกใต้ถุนสูงจากพื้น หลังคามุงด้วยสังกะสีที่บ่งบอกว่าผ่านการใช้งานมาอย่างคุ้มค่า ฝาบ้านถูกขัดด้วยไม้ไผ่สาน พื้นบ้านปูด้วยแผ่นไม้กระดานที่ไม่เรียบชิดติดกัน ส่งผลให้เกิดช่องว่างเล็กๆคั่นกลางระหว่างแผ่นไม้แต่ละแผ่น สมองของฉันเริ่มแปลผลจากภาพที่เห็นก่อเกิดเป็นคำถามขึ้นในใจ “หากมีฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ลมโหมกระพือมาอย่างรุนแรง สภาพของผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้จะเป็นอย่างไร?” เมื่อนึกถึงตรงนี้ฉันก็รู้สึกว่าลำคอของฉันมันตีบตัน แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสภาพความเป็นอยู่ของน้องปั้นและพี่ติ๊กจะลำบากขนาดนี้
การได้รู้จักกับพี่ติ๊กทำให้ฉันได้รับรู้อะไรมากมาย และสิ่งหนึ่งที่ทำให้มุมมองของฉันเริ่มเปลี่ยนไป คือ “ความร่ำรวยเงินทองคงไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญของการเป็นผู้ให้ ความร่ำรวยน้ำใจที่ทำให้ผู้รับมีความสุขต่างหากที่นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ผู้ให้พึงมี”
เสียงรถที่แล่นเข้ามาจอดบริเวณทางเข้าตึก ปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์ความคิดเรื่องต่างๆ ฉันเดินถือร่มออกมารับเด็กๆ เมื่อประตูรถเปิดออกภาพที่ปรากฏจนเจนตาของฉัน คือ พี่ติ๊กอุ้มน้องปั้นลงจากรถแล้วจูงมือมาส่งให้ฉัน “น้องปั้นขึ้นไปบนตึกกับครูแอนก่อนนะลูก แม่จะไปช่วยครูอุ้มพี่จอยลงจากรถก่อน” ฉันเกาะกุมมือน้อยๆของน้องปั้นและพาเดินขึ้นตึก พลางเหลียวหลังกับไปมองพี่ติ๊กผู้หญิงที่ทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจ คอยช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างฉันกับเพื่อนๆอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ไม่มีความเห็น