ทศพนธ์ นรทัศน์
ชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกัน (ICT for All Club)
[email protected]
ในที่สุดร่างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย พ.ศ. 2552-2556 ที่ผ่านการจัดทำมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และรอการพิจารณาประกาศใช้มาหลายต่อหลายรัฐบาล ในที่สุดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2552 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ได้มีมติเห็นชอบร่างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย พ.ศ. 2552-2556 ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เสนอ และให้ทุกกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำและ/หรือ ปรับแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของหน่วยงานให้สอดคล้องกับแผนแม่บทฯ (ฉบับที่ 2)
พร้อมมอบหมายให้กระทรวง ICT โดยสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวง ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กทสช.) รับผิดชอบการดำเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และเป็นหน่วยงานประสานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนงบประมาณ รองรับแผนแม่บทฯ (ฉบับที่ 2) รวมถึงการติดตามประเมินผลเพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมต่อไป
โดยให้หน่วยงานกลางที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากรและการบริหารจัดการภาครัฐ (สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ) นำแผนแม่บทฯ (ฉบับที่ 2) มาใช้เป็นกรอบแนวทางในการบริหารจัดการ ปรับปรุงโครงสร้าง และจัดสรรทรัพยากรทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารของประเทศไทย ในช่วงระยะเวลาของแผนแม่บทฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2552-2556 ต่อไป
สำหรับแผนแม่บท ICT ชาติ (ฉบับที่ 2) สรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
1. วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเป็นสังคมอุดมปัญญา (Smart Thailand)”
2. พันธกิจ พัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพและปริมาณที่เพียงพอ พัฒนาโครงข่ายสารสนเทศและการสื่อสารความเร็วสูง พัฒนาระบบบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีธรรมาภิบาล
3. วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มปริมาณและศักยภาพของกำลังคน เพื่อสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและปัจเจกบุคคล เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
4. เป้าหมาย
· ประชาชนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของประชากรทั้งประเทศมีความรอบรู้ สามารถเข้าถึงสร้างสรรค์และใช้สารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณ รู้เท่าทัน มีคุณธรรมและจริยธรรรม ก่อเกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ การทำงานและการดำรงชีวิตประจำวัน
· ยกระดับความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศ โดยให้ อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีระดับการพัฒนาสูงสุด ร้อยละ 25 (Top Quartile) ของประเทศที่มีการจัดลำดับทั้งหมดใน Networked Readiness Index
· เพิ่มบทบาทและความสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีสัดส่วนมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรม ICT ต่อ GDP ไม่น้อยกว่าร้อยละ 15
5. ยุทธศาสตร์ การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตามแผนแม่บทฯ (ฉบับที่ 2) มี 6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
· ยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนากำลังคนด้าน ICT และบุคคลทั่วไปให้มีความสามารถในการสร้างสรรค์ ผลิต และใช้สารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณและรู้เท่าทัน
· ยุทธศาสตร์ที่ 2 บริหารจัดการ ICT ของประเทศอย่างมีธรรมาภิบาล (National ICT Governance)
· ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
· ยุทธศาสตร์ที่ 4 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนให้เกิดธรรมาภิบาลในการบริหารและบริการของภาครัฐ (e-Governance)
· ยุทธศาสตร์ที่ 5 ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้เข้าประเทศ
· ยุทธศาสตร์ที่ 6 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย พ.ศ. 2552-2556 เป็นแผนพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศ ซึ่งมีความต่อเนื่องของนโยบาย จากนโยบาย IT 2010 และแผนแม่บทฯ (ฉบับที่ 1) ควบคู่กับการกำหนดนโยบายใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและเครื่องมือในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เป็นการแสดงเจตนารมณ์และทิศทางการพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของรัฐบาลที่ชัดเจน
คงต้องเฝ้าจับตามองกันต่อไปว่าแผนแม่บท ICT ชาติ ฉบับนี้ จะถูกแปลงไปสู่การปฏิบัติที่เห็นผลเป็นรูปธรรมมากน้อยเพียงใด หรือจะเป็นเพียงแผนที่เขียนไว้อย่างสวยหรูบนกระดาษ ผู้เขียนให้ด้วยอย่างยิ่งการที่จะพัฒนาให้บุคคลทั่วไปให้มีความสามารถในการใช้สารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณและรู้เท่าทัน เพราะความแตกแยกในสังคมที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากความเหลื่อมล้ำทางข้อมูลข่าวสาร หรือ Information Divide โดยเฉพาะประชาชนในชนบทที่ห่างไกล จึงนำไปสู่การรับรู้ข้อมูลเพียงด้านเดียวจากการปลุกระดมของคนบางกลุ่ม บางพวก ขาดวิจารณญาณและรู้เท่าทัน นอกจากนี้ ควรมุ่งวางโครงสร้างพื้นฐาน ICT ให้ครอบคลุมทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงข่ายสื่อสารที่จะให้ประชาชนสามารถเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้ในราคาที่ไม่แพง ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการนำสังคมไทยไปสู่ “สังคมอุดมปัญญา” อย่างที่คาดหวังไว้.
มารับความรู้ครับ ขอบคุณมากครับ