<p align="center">เทคโนโลยีการถ่ายภาพระบบดิจิตอล</p><p> การแสดงผลและพิมพ์ภาพดิจิตอล</p><ul><li>การถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอล (Digital camera) ซึ่งมีการบันทึกภาพด้วยระบบหน่วยความจำ(Memory) สามารถแสดงผล หรือการชมภาพที่ถ่าย หรือการพิมพ์ภาพลงบนวัสดุต่าง ๆ เช่น กระดาษ พลาสติก ผ้า ฯลมีหลายวิธีด้วยกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้</li><li>การแสดงผลภาพถ่าย การบันทึกภาพด้วยกล้องดิจิตอล สามารถเลือกรูปแบบการแสดงรูปภาพได้หลายรูปแบบ เช่น</li><li>1.แสดงภาพด้วยจอ LCD (Liquid crystal display) หรือ จอภาพผลึกเหลว เป็นจอภาพ ระบบดิจิตอลขนาดเล็ก ที่ติดมากับตัวกล้อง สามารถแสดงผลในลักษณะของภาพกราฟิก ที่สามารถแสดงผลภาพที่บันทึกได้ทันที กล้องบางรุ่นยังสามารถ ตกแต่งภาพได้ในตัวกล้อง</li></ul><table cellspacing="0" cellpadding="7" width="609" border="0"><tr><td valign="top" width="62%"><p align="center"> </p></td><td valign="top" width="38%"><p></p><p> </p><p> </p><p>การแสดงผลการบันทึกภาพระบบดิจิตอล ด้วยจอ LCD ในตัวกล้อง</p></td></tr></table><p>2. ต่อเชื่อมสัญญาณภาพกับเครื่องรับโทรทัศน์ กล้องดิจิตอลบางรุ่น สามารถต่อสัญญาณ AV เข้ากับเครื่องรับโทรทัศน์ การชมจะต้องเป็นสัญญาณดิจิตอลเพียงอย่างเดียว เพื่อชมภาพได้จอขนาดใหญ่ สามารถชมได้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว (Motion picture)</p><table cellspacing="0" cellpadding="7" width="609" border="0"><tr><td valign="top" width="63%"><p align="center">
</p></td><td valign="top" width="37%"><p></p><p> </p><p> </p><p>การต่อสัญญาณจากกล้องดิจิตอลเข้ากับเครื่องรับโทรทัศน์ เพื่อชมภาพด้วยจอขนาดใหญ่ </p></td></tr></table><p>3. ต่อเชื่อมสัญญาณภาพกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการต่อเชื่อมสัญญาณจากกล้องเข้า เครื่องคอมพิวเตอร์ และสามารถชมภาพได้ทางจอภาพ (Monitor) ของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผ่านระบบการทำงานของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบปฏิบัติการ Windows หรือ โปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับตกแต่งภาพ เช่น</p><p> Adobe PhotoShop</p><table height="198" cellspacing="0" cellpadding="7" width="609" border="0"><tr><td valign="top" width="63%" height="184"><p align="center">
</p></td><td valign="top" width="37%" height="184"><p></p><p> </p><p>ต่อเชื่อมสัญญาณภาพกับเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากจะได้ชมภาพที่มีความคมชัดแล้วยัง
สามารถตกแต่งภาพ ในลักษณะต่าง ๆ ด้วยโปรแกรมสำหรับตกแต่งภาพ เช่น Adobe Photoshop </p></td></tr></table><p>4. กรอบภาพอิเล็คทรอนิกส์ ในช่วงต้นปี ค.ศ.2000 หรือ พ.ศ. 2543 บริษัท โซนี่ ได้ผลิตกรอบภาพ ที่มีจอLCD และมีช่องเสียบการ์ดที่เรียกว่า Memory Stick ที่ใช้สำหรับบันทึกภาพจากกล้องดิจิตอล โดยกรอบภาพนี้จะสามารถแสดงรูปถ่าย และสามารถเลื่อนเปลี่ยนภาพที่บันทึกออกแสดงทางกรอบภาพได้อย่างคมชัด</p><table cellspacing="0" cellpadding="7" width="609" border="0"><tr><td valign="top" width="63%"><p align="center"> </p></td><td valign="top" width="37%"><p></p><p> </p><p> </p><p> </p><p>กรอบภาพอิเล็คทรอนิกส์ เป็นเทคโนโลยีในการแสดงภาพที่บันทึกจากกล้องดิจิตอล ซึ่งบริษัทโซนี่ ได้ผลิตออกมาจำหน่าย ในปี ค.ศ.2000</p></td></tr></table><p> นอกจากนี้ ยังมีการแสดงภาพในรูปแบบอื่น ๆ อีก ซึ่งผู้ผลิตแต่ละบริษัทได้พยายามพัฒนารูปแบบที่ทันสมัย และสะดวกต่อผู้ใช้ เช่น การฉายจอขนาดใหญ่ด้วยเครื่องฉาย LCD Projector เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก หรือนาฬิกาข้อมือ ที่สามารถบันทึกภาพ และแสดงภาพทางหน้าปัทม์นาฬิกาซึ่งผู้ใช้ต้อง ศึกษาลักษณะของการนำเสนอ แต่ละประเภทเพื่อประยุกต์ ใช้ให้เกิด ประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด</p><p>ระบบการพิมพ์ภาพ นอกจากการแสดงภาพถ่ายในลักษณะต่าง ๆ แล้ว เพื่อความสะดวกในการทำสำเนาภาพเพื่อแจกจ่ายหรือเก็บเป็นที่ระลึกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการอัดภาพลงบนกระดาษ หรือวัสดุอื่น ๆ ก็สามารถทำได้ เช่นเดียว กับกล้องถ่ายภาพที่ใช้ฟิล์ม โดยสามารถ พิมพ์ภาพได้หลายวิธี ตัวอย่างเช่</p><p>1. การพิมพ์ภาพผ่านเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink Jet) ระบบนี้จะต้องเป็นสัญญาณภาพระบบดิจิตอลเท่านั้น สีที่ใช้จะเป็นสีน้ำ 4 สี บางรุ่นมีถึง 6 สี ที่อยู่ในเครื่องพิมพ์ โดยสั่งงานผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถ พิมพ์ภาพได้ทั้งภาพสีและ ขาวดำ กระดาษที่ใช้พิมพ์ภาพควรใช้กระดาษที่ใช้สำหรับเครื่องพิมพ์แบบนี้โดยเฉพาะ คุณภาพของภาพที่ได้อาจจะมีความละเอียด และสีของภาพด้อยกว่าระบบถ่ายภาพด้วยฟิล์มสีหรือสไลด์ แต่หลาย บริษัทก็ได้พัฒนาคุณภาพให้ดีขึ้นและแนวโน้มราคาจะถูกลง </p><ol><table height="217" cellspacing="0" cellpadding="7" width="609" border="0"><tr><td valign="top" width="50%" height="203"><p>
</p></td><td valign="top" width="50%" height="203"><p></p><p> </p><p> </p><p> </p><p>เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink Jet)สำหรับ
พิมพ์ภาพจากกล้องดิจิตอลโดยผ่านการ
สั่งงานจากเครื่องคอมพิวเตอร์</p></td></tr></table></ol><p>2. การพิมพ์ภาพ ระบบ Dye Sub เป็นระบบการพิมพ์ภาพที่ทันสมัย ขนาดเล็กและสามารถพกพาได้ การพิมพ์ ภาพใช้สัญญาณดิจิตอล จากกล้องดิจิตอลโดยตรง หรือจากเครื่องคอมพิวเตอร์ กระดาษที่ใช้พิมพ์ ภาพเป็นกระดาษ สำหรับการพิมพ์ระบบนี้โดยเฉพาะ โดยใช้ความร้อนในการพิมพ์ภาพผ่านริบบิ้นสีลงบนกระดาษ </p><ol><table cellspacing="0" cellpadding="7" width="596" border="0"><tr><td valign="top" width="337"><p align="center"></p></td><td valign="top" width="240"><p></p><p> </p><p> </p><p>เครื่องพิมพ์ภาพระบบ Dye Sub ยี่ห้อ Olympus </p><p>มีหลักการทำงานโดยใช้ความร้อนในการพิมพ์ภาพผ่าน </p><p>ริบบิ้นสีลงบนกระดาษ </p></td></tr></table></ol> 3. การอัด ขยายภาพภาพด้วยระบบดิจิตอลมินิแลป (Digital Minilab) เป็นเทคโนโลยีของ เครื่องอัด ขยายภาพ สำหรับธุรกิจร้านถ่ายภาพ เป็นเครื่องอัด ขยายภาพที่สามารถรับสัญญาณ ดิจิตอลจาก แผ่นดิสก์เก็ต (Diskette) หรือจาก แผ่นซีดีรอม (CD-ROM) ที่ให้ความละเอียดและความคมชัดสูง ขยาย ภาพได้หลายขนาด ซึ่งแนวโน้ม ร้านค้าที่ให้บริการ ล้างอัด ขยายภาพจะนำเครื่องพิมพ์ภาพแบบนี้เพิ่มมากขึ้น ตามกระแสความนิยมของผู้ใช้บริการ บางบริษัท ยังให้บริการ อัด ขยายภาพผ่านทางไปรษณีย์อิเล็คทรอนิกส์ (E-mail) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าอีกด้วย <ol><table cellspacing="0" cellpadding="7" width="609" border="0"><tr><td valign="top" width="59%"><p> </p></td><td valign="top" width="41%"><p></p><p>เครื่องดิจิตอลมินิแลป (Digital Minilab) </p><p> สำหรับอัด ขยายภาพระบบดิจิตอล </p><p> ซึ่งร้านค้าที่ให้บริการล้าง อัด ขยายภาพ </p><p>นำมาใช้ในการอัดขยายภาพจากกล้องดิจิตอล </p></td></tr></table></ol> 4. ระบบการอัด ขยายภาพ แบบThermal printer เป็นการอัด ขยายภาพระบบดิจิตอลเช่นเดียวกัน โดยมีหลักการ คือใช้ความร้อน ในการอัดภาพ โดยใช้หมึกพิมพ์แบบริบบิ้นสี กระดาษสำหรับอัดภาพเป็นกระดาษ ที่ใช้เฉพาะเครื่อง Thermal printer เท่านั้น <table cellspacing="0" cellpadding="7" width="609" border="0"><tr><td valign="top" width="59%" height="160" rowspan="2"><p align="center">
</p></td><td valign="top" width="41%" height="160"><p>
</p></td></tr><tr><td valign="top" width="41%" height="66"><p> </p><p>ระบบการอัด ขยายภาพ แบบThermal printerและหลักการทำงานโดยใช้ความร้อน เพื่อนำสีจากริบบิ้นสีพิมพ์ลงบนกระดาษ</p></td></tr></table><p> นอกจากการพิมพ์ภาพระบบดิจิตอลที่ได้กล่าวถึงทั้ง 4 รูปแบบ นี้แล้ว ยังมีรูปแบบอื่น ๆ ที่ได้พัฒนาขึ้นมา เช่น เครื่องพิมพ์แบบ Plotter printer เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์สีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประโยชน์การ ใช้งานและลักษณะ ของคุณภาพของภาพถ่ายแต่ละประเภท ซึ่งเทคโนโลยีดิจิตอลพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรต้องศึกษา และติดตาม ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเพื่อเลือกใช้งานในรูปแบบที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดเพื่อผลงานภาพถ่าย ที่ตรงตามความต้องการ</p><p>เทคนิคการถ่ายภาพ </p> ในบทนี้มาศึกษาเทคนิคการถ่ายภาพในลักษณะต่าง ๆ เพื่อพัฒนาทักษะ ความแม่นยำในการบันทึกภาพ เลือกรายการได้เลยครับ <table width="100%" border="0"><tr><td width="34%"><p align="right">
</p></td><td valign="middle" width="66%"><ul><li>DEPTH OF FIELD
เทคนิคการกำหนดรูรับแสงเพื่อกำหนดระยะชัดของภาพแบบต่าง ๆ </li></ul></td></tr><tr><td width="34%"><p align="right"> </p></td><td valign="middle" width="66%"><ul><li>LAND SCAPE
การถ่ายภาพทิวทัศน์ หรือที่เรียกว่าภาพวิวให้ประทับใจ </li></ul></td></tr><tr><td width="34%"><p align="center"> </p></td><td valign="middle" width="66%"><ul><li>STOP ACTION
ใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่สูงเพื่อ หยุดสิ่งที่เคลื่อนไหว </li></ul></td></tr><tr><td width="34%"><p align="center"> </p></td><td valign="middle" width="66%"><ul><li>ACTION
ใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้าเพื่อแสดงพลังของการเคลื่อนไหว </li></ul></td></tr><tr><td width="34%"><p align="center"> </p></td><td valign="middle" width="66%"><ul><li>PANNING
เทคนิคเคลื่อนกล้องตามวัตถุที่เคลื่อนไหว แสดงให้เห็นความเร็ว และ แรง </li></ul></td></tr><tr><td width="34%"><p align="center"> </p></td><td width="66%"><ul><li> CLOSE UP
เทคนิคการถ่ายภาพใกล้ เห็นรายละเอียดชัด ๆ </li></ul></td></tr><tr><td width="34%"><p align="center"> </p></td><td width="66%"><ul><li>SILHOUETTE
ถ่ายภาพย้อนแสง เพื่อเน้นรูปร่าง หรือเงาดำแปลกตาน่าสนใจดี </li></ul></td></tr><tr><td width="34%"><p align="center"> </p></td><td width="66%"><ul><li>NIGHT PICTURE
ราตรีอันงดงาม บันทึกความประทับใจบนแผ่นฟิล์ม ตราบนิรันด์ </li></ul></td></tr><tr><td width="34%"><p align="center"> </p></td><td width="66%"><ul><li>LOW KEY
ภาพดูลึกลับ เหงา ถ่ายทอดได้ทั้งความงามและความน่ากลัว </li></ul></td></tr><tr><td width="34%"><p align="center"> </p></td><td width="66%"><ul><li>CREATIVE
สร้างสรรค์แบบไร้ขีดจำกัด มุมมองที่มีจินตนาการ </li></ul><p> </p><table width="83%" align="center" border="0"><tr><td width="8%" height="5016"> </td><td valign="top" width="89%" height="5016"><p>1) การจัดองค์ประกอบภาพ (Composition) สำหรับการถ่ายภาพให้ได้ภาพที่ตรงตามความต้องการ มีคุณค่า มีความงามทางด้านศิลปะ นอกจาก จะทำความเข้าใจในเรื่องของการใช้กล้องถ่ายภาพ และเครื่องมือที่มีคุณภาพแล้ว การจัดองค์ประกอบภาพ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้ภาพมีคุณค่าขึ้น ดังนั้นเราจึงมาศึกษาการจัดองค์ประกอบภาพ ซึ่งในบทนี้ จะกล่าวถึงการจัดองค์ประกอบภาพอยู่ 10 ลักษณะ คือ </p><p>รูปทรง เป็นการจัดองค์ประกอบภาพที่ให้ความรู้สึก สง่างาม มั่นคง เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ ทางสถาปัตยกรรม การถ่ายภาพวัตถุ หรือถ่ายภาพสิ่งต่างๆ เน้นให้เห็นความกว้าง ความสูง ความลึก โดยให้เห็นทั้งด้านหน้าและด้านข้าง และความลึก หรือที่เรียกว่าให้เห็น Perspective หรือภาพ 3 มิติ </p><table width="100%" border="0"><tr><td width="50%"> </td><td valign="top" width="50%"><p align="center">
</p></td></tr><tr><td width="50%">ภาพที่ 1 ภาพตึกและอาคาร ถ่ายจากด้านข้างเน้นให้เห็น
ความมั่นคงใหญ่โต </td><td width="50%">ภาพที่ 2 หน้ากากผีตาโขน อ.ด่านซ้าย จ.เลย เน้นให้เห็นระยะ
ความลึก และรูปทรงของหน้ากาก </td></tr></table><ul><li>รูปร่างลักษณะ มีการจัดองค์ประกอบภาพตรงข้ามกับรูปทรง คือเน้นให้เห็นเป็นภาพ 2 มิติ คือ ความกว้างกับความยาว ไม่ให้เห็นรายละเอียดของภาพ หรือที่เรียกว่าภาพเงาดำ ภาพลักษณะนี้ เป็นภาพที่ดูแปลกตา น่าสนใจ ลึกลับ ให้อารมณ์และสร้างจินตนาการ ในการในการดูภาพได้ดีนิยมถ่ายภาพในลักษณะ ย้อนแสง
ข้อควรระวังในการถ่ายภาพลักษณะนี้คือ วัตถุที่ถ่ายต้องมีความเรียบง่าย เด่นชัด สื่อความหมาย ได้ชัดเจน ฉากหลังต้องไม่มารบกวนทำให้ภาพนั้น หมดความงามไป </li><li>ความสมดุลที่เท่ากัน เป็นการจัดองค์ประกอบภาพเพื่อให้ภาพดูนิ่ง สง่างาม น่าศรัทธา คล้ายกับแบบเน้นด้วยรูปทรง แต่จะแสดงออกถึงความสมดุล นิ่ง ปลอดภัย ภาพลักษณะนี้อาจจะดูธรรมดา ไม่สะดุดตาเท่าใดนัก แต่ก็มีเสน่ห์และความงามในตัว </li><li>ความสมดุลที่ไม่เท่ากัน การจัดภาพแบบนี้ จะให้ความรู้สึกที่สมดุลย์เช่นเดียวกับแบบที่แล้ว แต่จะต่างกันอยู่ที่ วัตถุทั้งสองข้าง มีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกัน แต่จะสมดุลได้ด้วยปัจจัยต่าง ๆ กัน เช่น สี รูปทรง ท่าทาง ฉากหน้า ฉากหลัง ฯลฯ ภาพดูน่าสนในกว่าแบบสมดุลที่เท่ากัน แต่ความรู้สึกที่มั่นคงจะ น้อยกว่า แต่แปลกตาดี</li><li>ฉากหน้า ส่วนใหญ่จะใช้ในการถ่ายภาพทิวทัศน์ หรือภาพอื่น ๆ ใช้ฉากหน้าเป็นตัวช่วยให้เกิดระยะ ใกล้ กลาง ไกล หรือมีมิติขึ้น ทำให้ภาพน่าสนใจอาจใช้กิ่งไม้ วัตถุ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับกล้องเพื่อช่วยเน้นให้จุดสนใจที่ต้องการเน้น มีความเด่นยิ่งขึ้น และไม่ให้ภาพมีช่องว่างเกินไป </li><li><p> กฏสามส่วน เป็นการจัดภาพที่นิยมมากที่สุด ภาพดูมีชีวิตชีวา ไม่จืดชืด การจัดภาพโดยใช้เส้นตรง 4 เส้นตัดกันในแนวตั้งและแนวนอน จะเกิดจุดตัด 4 จุด (ดังภาพที่ 19) หรือแบ่งเป็น 3 ส่วน ทั้งแนวตั้งและแนวนอน การวางจุดสนใจของภาพจะเลือกวางใกล้ ๆ หรือ ตรงจุด 4 จุดนี้ จุดใดจุด หนึ่ง โดยหันหน้าของวัตถุไปในทิศทางที่มีพื้นที่ว่างมากกว่า ทำให้ภาพดูเด่น ไม่อึดอัด ไม่แน่น หรือหลวมจนเกินไป นักถ่ายภาพทั้งมืออาชีพ และมือสมัครเล่นนิยมจัดภาพแบบนี้มาก</p></li><li><p>เส้นนำสายตา เป็นการจัดภาพที่ใช้เส้นที่เกิดจากวัตถุ หรือสิ่ง อื่น ๆ ที่มีรูปร่างลักษณะใกล้เคียงกัน เรียงตัวกันเป็นทิศทางไปสู่จุดสนใจ ช่วยให้วัตถุที่ต้องการเน้นมีความ เด่นชัด และน่าสนใจยิ่งขึ้น </p></li><li><p>เน้นด้วยกรอบภาพ แม้ว่าภาพถ่ายจะสามารถนำมาประดับ ตกแต่งด้วยกรอบภาพอยู่แล้ว แต่การจัดให้ฉากหน้าหรือส่วนประกอบอื่นล้อมกรอบจุดเด่น เพื่อลดพื้นที่ว่าง หรือทำให้สายตาพุ่งสู่จุดสนใจนั้น ทำให้ภาพกระชับ น่าสนใจ</p></li><li>เน้นรูปแบบซ้ำซ้อน หรือแบบ Pattren เป็นการจัดภาพที่มีรูปร่าง ลักษณะ ที่คล้าย ๆ กันวางเป็นกลุ่มทำให้ภาพดูสนุก สดชื่น และมีเสน่ห์แปลกตา
<p>
การใช้กล้องถ่ายภาพ </p><p align="left"> หลังจากที่ได้ศึกษา เกี่ยวกับอุปกรณ์ในการถ่ายภาพมาแล้ว ในบทนี้จะพูดถึง การใช้กล้องถ่ายภาพ โดย
เริ่มต้นจาก
1. การบรรจุฟิล์ม เพื่อให้กล้องพร้อมที่จะใช้งาน ผู้ใช้ต้องศึกษาจากคู่มือของ กล้องอย่างละเอียด เพราะ กล้องแต่ละชนิดแต่ละรุ่นจะมีกลไกในการทำงานไม่เหมือนกันแต่กล้อง 35 มม. สะท้อนเลนส์เดี่ยว โดยทั่วไป แล้วจะ ไม่แตกต่างกันเท่าใดนักโดยมีขั้นตอนการบรรจุฟิล์มและการตรวจสอบเป็นขั้นตอน ดังนี้ </p> <table width="100%" border="0"><tr><td width="41%"><p align="center"> </p></td><td valign="middle" width="59%"> 1. เปิดฝาหลังกล้องและดึงก้านกรอฟิล์มกลับขึ้นจนสุดและวางกลักฟิล์มให้เข้า กับช่องใส่กลักฟิล์ม ระวังอย่าให้นิ้วหรือหางฟิล์มกระทบกับม่านชัตเตอร์ เป็นอันขาด </td></tr><tr><td width="41%"><p align="center">
</p></td><td valign="middle" width="59%"> 2. ดึงหางฟิล์มออกจากกลัก และสอดปลายของหางฟิล์มเข้ากับแกนหมุนฟิล์ม ให้แน่นและให้รูหนามของกล้องเข้ากับรูหนามเตยของฟิล์มให้สนิท </td></tr><tr><td width="41%"><p align="center">
</p></td><td valign="middle" width="59%"> 3. ปิดฝาหลังกล้องทดลองขึ้นฟิล์มและกดชัตเตอร์ประมาณ 2 ภาพ (เพราะเป็นส่วนหัวฟิล์มที่โดนแสงแล้ว)ตรวจสอบความเรียบร้อยของฟิล์ม โดยหมุนก้านกรอฟิล์มกลับให้ตึง เมื่อขึ้นฟิล์มก้านกรอฟิล์มกลับจะหมุนตาม แสดงว่ากล้องถ่ายภาพพร้อมที่จะใช้งานได้แล้ว <p> </p></td></tr></table> <p>หมายเหตุกล้องถ่ายภาพบางรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้องที่ถ่ายภาพระบบอัตโนมัติจะมีกลไกในการบรรจุฟิล์มที่สะดวกขึ้น ให้ศึกษาจากคู่มือการใช้กล้องถ่ายภาพชนิดนั้น ๆ</p><p></p><p> 2. การตั้งค่าความไวแสงของฟิล์ม (ISO) </p><p> ฟิล์มที่มีจำหน่ายในท้องตลาดจะมีค่าความไวแสงที่แตกต่างกันตามความต้องการของผู้ใช้ ดังนั้นก่อน การถ่ายภาพควรต้องตรวจสอบว่าฟิล์มที่ใช้มีความไวแสงเท่าใด โดยดูได้จากกล่องของฟิล์มและที่ม้วนของ ฟิล์ม หากกำหนดค่าความไวแสงของฟิล์ม ผิดพลาดจะทำการวัดแสงผิดพลาดด้วย จะทำให้ภาพที่ได้อาจจะ มืดหรือสว่างเกินไปก็เป็นได้</p><p> ในกล้องถ่ายภาพ 35 มม.สะท้อนเลนส์เดี่ยวโดยทั่วไปจะมีปุ่มปรับค่าความไวแสงไว้ที่ด้านบนของตัว กล้อง ซึ่งมีตัวเลขแสดงค่าความไวแสงขนาดต่าง ๆ ไว้ ผู้ใช้ต้องปรับให้ค่าความไวแสงให้ถูกต้อง ซึ่งกล้อง แต่ละรุ่นจะมีวิธีการไม่เหมือนกันซึ่งต้องดูรายละเอียดจากคู่มือการใช้กล้องชนิดนั้น ๆ</p><p> ในกล้องถ่ายภาพบางรุ่นจะมีระบบปรับค่าความไวแสงเองโดยอัตโนมัติโดยตัวกล้องจะมีปุ่มสำหรับอ่านค่า
ความไวแสงจากรหัสที่กลักฟิล์มดังนั้นเวลาจับกลักฟิล์มต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดของมือเพราะอาจจะทำ ให้รหัสของฟิล์มมีรอยหรือมีคราบสกปรกจะทำให้การวัดแสงผิดพลาดไปด้วย</p><table width="100%" border="0"><tr><td width="36%"><p align="center"> </p></td><td width="64%"><ul><li> การตั้งค่าความไวแสงของฟิล์มที่ตัวกล้อง ให้ตรงกับค่าความไวแสง ของฟิล์มเพื่อป้องกันไม่ให้วัดแสงผิดพลาด </li></ul></td></tr></table> <p> 3. วิธีการจับกล้องถ่ายภาพ </p><p> วิธีการจับกล้องถ่ายภาพเพื่อถ่ายภาพต้องจับในท่าที่ถนัดและมั่งคงที่สุด เพื่อป้องกันการ สั่นไหว ของกล้องถ่ายภาพขณะบันทึกภาพ ด้วยการจับด้วยสองมือให้มั่นคง ใช้นิ้วชี้ของมือขวาจะใช้กดชัตเตอร์ และปรับความเร็วชัตเตอร์ และนิ้วหัวแม่มือจะใช้ในการเลื่อนฟิล์ม และใช้อุ้งมือและนิ้วที่เหลือจับกล้องให้มั่น ส่วนมือข้างซ้ายจะวางอยู่ที่ด้านล่างของกล้องโดยใช้อุ้งมือเป็นตัวรองรับด้านล่างของกล้อง ใช้นิ้วหัวแม่มือ สำหรับการปรับระยะชัดและปรับขนาดรูรับแสง ข้อศอกทั้งสองข้างชิดลำตัวเพื่อให้กล้องนิ่งที่สุด
ขณะบันทึกภาพ</p><p> นอกจากนี้ยังมีท่าจับกล้องในลักษณะต่างๆ ตามสถานการณ์การถ่ายภาพ เช่น ท่ายืน ท่านั่ง ท่านอนและท่าอื่น ๆ เพื่อให้ได้ภาพในมุมที่สวยและคมชัดที่สุด</p><table width="100%" border="0"><tr><td width="37%"><p align="center"> </p></td><td width="63%"> <p> </p><p> 1. ท่าถ่ายภาพท่าปกติ ใช้มือซ้ายประคองกล้องให้นิ่ง พร้อมปรับระยะชัด และปรับรูรับแสง มือขวา จับตัวกล้องให้แน่น พร้อมทั้งลั่นชัตเตอร์ ข้อศอกชิดลำตัว ทำให้การจับถือกล้องมั่นคงยิ่งขึ้น </p></td></tr><tr><td width="37%"><p align="center">
</p></td><td width="63%"> <p> </p><p> </p><p> </p><p> </p><p> 2. ท่าถ่ายภาพท่าปกติ ในแนวตั้ง ข้อศอกชิดลำตัว ทำให้การจับถือกล้องมั่นคงยิ่งขึ้น </p></td></tr><tr><td width="37%"><p align="center">
</p></td><td width="63%"> <p> </p><p> </p><p>3. ท่าถ่ายภาพในท่านั่ง ข้อศอกซ้ายตั้งบนหัวเข่าช่วยให้กล้องนิ่งยิ่งขึ้น </p></td></tr><tr><td width="37%">
</td><td width="63%"> <p> </p><p>4. ท่าถ่ายภาพท่าในท่านอน ข้อศอกทั้งสองข้างตั้งพื้น ใช้ในกรณีถ่ายภาพที่ใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ โดยไม่มีขาตั้งกล้อง หรือถ่ายภาพ วัตถุในที่ต่ำ </p></td></tr><tr><td width="37%"><p align="center">
</p></td><td valign="middle" width="63%"> <p> </p><p> 5. ท่าถ่ายภาพท่าในท่านอน วางกล้องกับพื้น ใช้ในกรณีที่ใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ มาก เพื่อให้กล้องนิ่งที่สุด ( ถ้ามีขาตั้งกล้องให้ใช้แทน) หรือตั้งเวลาในการถ่ายภาพตัวเอง </p></td></tr><tr><td width="37%"><p align="center">
</p></td><td width="63%"> <p> 6. ท่าถ่ายภาพท่าเหนือศรีษะ ใช้สำหรับถ่ายภาพผ่านสิ่งกีดขวาง แต่ถ่ายภาพในลักษณะนี้ ผู้ถ่ายต้องมั่นใจว่าจะสามารถถ่ายภาพได้ไม่หลุด กรอบ หรือกะระยะโฟกัสได้แม่นยำ </p></td></tr></table> <p> 3. วิธีการถ่ายภาพ </p><p> 3.1 การปรับระยะชัด (Fucusing) </p><p> สิ่งที่สำคัญในการถ่ายภาพ คือการปรับระยะชัดหรือระยะโฟกัสจะช่วยให้ภาพที่ได้มีความคมชัด สำหรับกล้อง 35 มม. สะท้อนเลนส์เดี่ยวสามารถมองผ่านช่องมองภาพได้ โดยปรับความคมชัดจากวงแหวน ปรับระยะชัดที่เลนส์ โดยภาพที่ปรากฏผ่านช่องมองภาพจะเป็นภาพจริง ดังนั้นผู้ถ่ายภาพควร ต้องคำนึงถึง วัตถุที่ต้องการเน้นให้มีความชัดเจนมากที่สุด ที่กระบอกเลนส์จะมีค่าแสดงตัวเลขบอก ระยะทางจากตัวกล้อง ไปจนถึงวัตถุที่ปรับระยะชัด ช่วงระยะในการชัดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของรูรับแสง ยิ่งแคบมากยิ่งทำ ให้ ระยะชัดลึกมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าเปิดรูรับแสงกว้างมากต้องระวังการปรับระยะชัดให้ดีเพราะช่วงชัดลึก จะสั้น หรือเลนส์ยิ่งมีความยาวโฟกัสมากเท่าใดความชัดลึกย่อมมีน้อยตามไปด้วย ดังนั้นผู้ใช้ต้องทำความ เข้าใจ ในเรื่องนี้และฝึกการปรับระยะชัดให้แม่นยำและรวดเร็ว</p><p> ในปัจจุบันกล้องบางรุ่นจะมีระบบปรับความชัดอัตโนมัติ (Auto focus) ซึ่งต้องศึกษาการใช้งาน จากคู่มือของกล้องรุ่นนั้นให้ดี เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการถ่ายภาพ</p><table width="100%" border="0"><tr><td width="50%"><p align="center">
</p></td><td width="50%"> <p> </p><p> </p><p> </p><p> ภาพแสดงวงแหวนปรับระยะชัด พร้อมทั้งตัวเลขบอกระยะชัด </p></td></tr></table><p> 3.2 การกำหนดความเร็วชัตเตอร์ </p><p> การกำหนดความเร็วชัตเตอร์เป็นความจำเป็นอีกประการหนึ่งในการถ่ายภาพ เพราะจะเป็น ตัวกำหนดช่วงเวลาในการรับแสงของฟิล์ม ซึ่งที่ตัวกล้องจะมีตัวเลขแสดงค่าความเร็วชัตเตอร์เป็นจำนวน เต็ม เช่น B 1 2 4 8 15 30 60 125 250 500 1000 เป็นต้น แต่ความ เป็นจริงแล้ว 1 หมายถึง กล้องจะเปิดม่านชัตเตอร์ให้แสงกระทบกับฟิล์มเป็นเวลา 1 วินาที 2 หมายถึง1/2 วินาที ไปจนถึง 1/1000 วินาที ค่าตัวเลขยิ่งสูงมากเท่าใดความเร็วยิ่งมากขึ้นเท่านั้น</p><p> การกำหนดความเร็วชัตเตอร์จะขึ้นอยู่กับสภาพแสงและจุดประสงค์ในการถ่ายภาพเป็นสำคัญ ถ้าแสงมีความสว่างมากเช่นในตอนกลางวันช่วงเวลา 10.00 น. -14.00 น. ในวันที่ฟ้าสดใสไม่มีเมฆ หรือหมอกมาบังจะสามารถตั้งความเร็วชัตเตอร์ได้สูง เช่น 1/250 1/500 หรือ 1/1000 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ การกำหนดรูรับแสงด้วยซึ่งจะได้กล่าวถึงในหัวข้อถัดไป สำหรับผู้ที่เริ่มต้นถ่ายภาพควรตั้งความเร็วชัตเตอร์ สูงไว้ คือ ตั้งแต่ 1/125 ขึ้นไปจะช่วยป้องกันปัญหากล้องสั่นไหว จะส่งผลให้ภาพที่ได้พร่ามัว และการถ่ายภาพ วัตถุที่ไม่หยุดอยู่กับที่ เช่น การแข่งขันกีฬา ควรตั้งความเร็ว ชัตเตอร์ที่สูงด้วย เช่นกัน เพราะจะทำให้ ภาพ ที่ไห้หยุดนิ่ง (Stop action)</p><table width="100%" border="0"><tr><td width="31%"><p align="center">
</p></td><td width="69%"> <p> </p><p> </p><p>ภาพแสดงวงแหวนปรับความเร็วชัตเตอร์ </p></td></tr></table><p> 3.3 การกำหนดค่ารูรับแสง </p><p> การกำหนดรูรับแสง เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติควบคู่กับการกำหนดความเร็วชัตเตอร์ เพราะเป็น ตัวกำหนดปริมาณของแสงที่มากระทบกับฟิล์ม ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของรูรับแสงโดยมีการ กำหนดค่าตั้งแต่กว้างสุด จนถึงแคบสุด โดยแทนค่าเป็นตัวเลข ยิ่งตัวเลขมากเท่าใดรูรับแสงยิ่งแคบลง</p><p> วิธีการเพิ่ม หรือลดรูรับแสงนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแสง ค่าความไวแสงของฟิล์มและความเร็วชัตเตอร์ เป็นสำคัญ ยิ่งเปิดรูรับแสงแคบเท่าใดต้องปรับความเร็วชัตเตอร์ให้ต่ำลง เพื่อรักษาความสมดุลย์ของแสง การเปิดรูรับแสงนั้นจะส่งผลต่อภาพในเรื่องของระยะชัด (Depth of field) ของภาพ ในกรณีที่เปิดรูรับแสงกว้าง จะทำให้ภาพมีความชัดเฉพาะจุดหรือชัดตื้น ถ้าเปิดรูรับแสง ปานกลางถึงแคบสุดภาพ จะเพิ่มระยะชัดหรือมี ความชัดลึกมากขึ้น </p><p align="center">
</p><p align="center">ภาพแสดงค่าตัวเลขของรูรับแสง (Aperture) </p> <table width="100%" border="0"><tr><td width="33%">
</td><td width="33%">
</td><td width="34%">
</td></tr><tr><td width="33%"><p align="center">ภาพชัดตื้น
เปิดรูรับแสง F 1.4 ความเร็วชัตเตอร์ 1/500 </p></td><td width="33%"><p align="center">ภาพชัดกลาง
เปิดรูรับแสง F 5.6 ความเร็วชัตเตอร์ 1/250 </p></td><td width="34%"><p align="center">ภาพชัดลึก
เปิดรูรับแสง F 22 ความเร็วชัตเตอร์ 1/60 </p></td></tr></table> <p> 3.4 การวัดแสง </p><p> หลังจากที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความเร็วชัตเตอร์กับการเปิดรูรับแสงแล้วต้องทำความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องการวัดแสงเพื่อให้ได้ภาพมีความสมดุลย์ของแสงและความอิ่มตัวของสี ความเร็วชัตเตอร์และรูรับ แสงต้องมีความสัมพันธ์กัน ถึงแม้ว่าในปัจจุบันกล้องถ่ายภาพส่วนใหญ่จะสามารถปรับสภาพของการรับแสง ของกล้องได้โดยอัตโนมัติก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ถ่ายภาพต้องทำความเข้าใจคือ ลักษณะของภาพที่ต้องการ อาจต้องการภาพที่มีความชัดลึก เช่น ภาพภูมิทัศน์ ภาพงานพิธีต่าง ๆ หรือภาพที่ต้องการให้มีลักษณะชัดตื้น เพื่อเน้นเฉพาะจุด เช่น การถ่ายภาพบุคคล การถ่ายภาพวัตถุ ต่าง ๆ หรือภาพที่ต้องการใช้ความเร็วชัตเตอร์ ที่สูงเพื่อหยุดภาพที่เคลื่อนไหวอย่างเร็ว หรือภาพที่ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้า</p><p> ภาพที่วัดแสงได้ถูกต้อง หรือ Normal จะได้ภาพที่มีความเข้มของสีถูกต้อง เหมาะสม แต่ถ้าวัดแสง ผิดพลาดคือ ให้ฟิล์มรับแสงน้อยเกินไป หรือ Under อาจเกิดจากเปิดรูรับแสงน้อยเกินไป หรือ ใช้ความเร็ว ชัตเตอร์เร็วเกินไป ภาพจะออกมามีโทนสีดำมาก หรือที่เรียกว่า ภาพมืด ยิ่งผิดพลาดมากเท่าใดภาพยิ่ง มืดมากเท่านั้น ส่วนภาพที่รับแสงมากเกินไป หรือ Over มีสาเหตุจากใช้รูรับแสงกว้างเกินไป หรือความเร็วชัตเตอร์ช้าเกินไป ทำให้ภาพที่