ทักษิณ หลินปิง : ฉันอิจฉาหมีขอบตาดำ ที่สวนสัตว์เชียงใหม่


การที่ทั้งภาครัฐ เอกชน รณรงค์ ส่งเสริมหมี จนกระทั่งเกิดกระแส “หมี หมี หมี” เพื่อจะให้คนไทย ลืมอะไรบางอย่างในประเทศ เที่ยวไทย จับจ่าย และมีความสุขกับหมีขอบตาดำ ก็คงพอกล้อมแกล้มได้มั้ง เป็นการจัดการเชิงเศรษฐกิจ ประชาชนมีความสุข(ฉาบฉวย) ว๊อบ ๆ แว๊บ ๆ ก็คงจะพอได้มั้ง เผื่อคนไทยจะลืมปัญหาปากท้อง ลืมการเผชิญหน้าทางการเมืองได้

ทักษิณ หลินปิง :  ฉันอิจฉาหมีขอบตาดำ ที่สวนสัตว์เชียงใหม่

-โมไนย  พจน์-

          ในที่สุดหมี ขอบตาดำ เชื้อชาติจีน ที่พ่อแม่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย  เกิดในไทย มีบ้านอยู่สวนสัตว์เชียงใหม่ ได้ชื่อ “หลินปิง” ที่เด็กหญิงผู้ส่งไปรษณีย์บัตรไปทายประหนึ่งว่าตั้งให้   ท่านรัฐมนตรีคนดังได้หน้า  ชาวประชา ก็ได้ทัวร์ไทย ใช้จ่ายให้เกิดการหมุนเวียนกับระบบเศรษฐกิจ ลดกระแสความร้อนของการเมือง หมีกลบข่าว และเบนความสนใจจากเศรษฐกิจฝืด ๆ ลงไปได้ไม่มากก็น้อย

วันก่อนกระเซ้ารุ่นน้องที่สนิทกันว่าไม่ไปดูหมีขอบตาดำกับเขาเหรอ น้องคนที่ว่าสวนแบบไม่ลังเลเลย “บ้าเห่อ”

ไม่กลัวเชยเหรอ ? ถามรุกอีกครั้งเธอก็ตอบต่ออีกว่า “ใครจะไปก็ไปเถอะ”

แล้วความเงียบ...ก็แผ่คลุมบรรยากาศการสนทนาของเราทั้งสอง...ได้แต่ระวังตัวถอยหน้ามาให้ห่างรัศมีมือ กลัวขอบตาจะดำแบบเดียวกับหมี

       ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเขียนถึงเพราะหมี ก็คือหมีอยู่วันยังค่ำ คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้   แต่เมื่อถูกยัดเยียดให้ต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่าน “Bear Market-การตลาดหมีหมี”  ชนิดที่รายงานข่าวกันเป็นระยะ  ตั้งแต่เกิด กินอะไร น้ำหนักตัวเท่าไหร่ลืมตา อย่างไร ซ้ายขวา  ก็เลยมาคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย จะเป็นเทคนิคปั่นหุ้นด้วยสื่อ  เพราะอย่างน้อยสวนสัตว์ก็คนไปเที่ยวเยอะ มีการใช้จ่าย เงินหมุนเวียนหนุนเศรษฐกิจกิจไทย ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ไม่ให้คนทัวร์นอก   ไปรษณีย์บัตรขายได้ทั่วประเทศ  ปิดข่าวที่ฟังดูเศร้าโศรก หดหู่ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองรายวัน เศรษฐกิจที่ยังทรุด  รวมไปถึงการเมืองที่เผชิญหน้ากันในแต่ละวัน   ฟังดูพอเป็นเหตุผลที่พอฟังได้ ประหนึ่งคนไทยขาดที่พึ่งอย่างนั้นแหละ เลยต้องใช้หมีลบเลียแผลใจ  จะเหมือนก่อนหน้าที่ประมาณ 2-3 ปีคนไทย “จุด” กระแสจตุคามรวยไปตาม ๆ กัน พอมาตอนนี้ “หมี” จึงถูกจุดขึ้นมาให้คนไทยได้เกาะ  จะเข้าทำนองคนไทยไม่รู้จะพึ่งอะไร  “หมีน้อย” ลอยมาก็ขอเกาะเกี่ยวไว้ก่อนกระมั้งมองให้เป็นมุมดีแล้วกัน จะได้สบายใจ เหมือนยุค ศรีอาริยะแสดงทัศนะไว้ว่า “ถ้าฟังสื่อ ด้านเดียว เข้าสู่ใต้จิตสำนึกของผู้คนทุกวัน...ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก...ตอกย้ำแล้ว ตอกย้ำอีก สื่อก็จะสามารถควบคุมและโปรแกรมจิตของคนได้”  ถ้าเอาทัศนะนี้มาอธิบายหมี ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า หมี เข้า หู เข้าตา เราเกือบทุกวัน ตั้งแต่เช้าจรดเย็น คนไทย“เสพ” หมีทุกวันจนขอบตาดำ ไม่ใช่สิจนหายใจเป็นหมี  จากหมีธรรมดา กลายเป็น “ชุปเปอร์หมี” ไปแล้วสิ

       ไม่รู้พี่น้องไทยกลุ่มหนึ่งจะได้มีการไปขูดหวย ขอเลข  หรือเอาแป้งโรยไหม  ประมาณว่ามีส่วนร่วมเพื่อจะมีส่วนได้ คงไม่ถึงขนาดหมีจะลืมตาซ้าย หรือขวาก่อน  แต่ก็มีบางส่วนย้อนแย้งว่า “ทำไมช้างไทย ที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองไม่ได้รับการดูแลปรนนิบัติ  ให้เหมือนหมี” แล้วก็ลากโยงถึงช้างถูกทารุณกรรม ช้างอด ช้างป่วย ลากโยงไปถึงว่าช้างเป็นสัตว์กู้บ้านกู้เมือง ช่วยรบในสงคราม เป็นหน้าเป็นตา ไปจนถึงครั้งหนึ่งเคยอยู่ในธงด้วย เพราะช้างคือสัตว์คู่บ้านคู่เมือง ประมาณว่าลากประวัติศาสตร์ รัฐชาติมาเพื่อต่อกรกับหมี “หลินปิง” กันเลยทีเดียว ก็ว่ากันไปตามเหตุผล เพราะอยู่มุมมองและทัศนะ ส่วนผลประโยชน์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะเรียกว่า  “หลินปิง Marketing  ก็คงไม่ผิด เพราะว่าสวนสัตว์มีคนไปชมมากเป็นประวัติการณ์ 3 หมื่นกว่าคนในวันเดียว  วัดกู่ดินขาวในสวนสัตว์ก็พลอยได้รับอานิงสงค์เพราะทางสวนสัตว์พาคนไปทำบุญวันแม่ที่นั่น (ข่าวสด : 3 ส.ค.52: 19 : 6832)ไปรษรณีย์ไทย ธุรกิจอื่น ๆ ก็พลอยได้รับอานิสงค์ไปด้วยจะว่าเกาะหมีก็ยอมละงานนี้  

       ผู้เขียนเองก็นั่งดูข่าวสาร ข้อมูลและเหตการณ์หมีมานาน ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่เข้ามาประเทศไทย สมสู่กัน ท้อง คลอด “ฟีเวอร์” ลืมตา ขยับตัว  กินอะไร ตด ถ่าย  หมอตรวจตอนไหน ตั้งกล้องเป็นถ่ายทอดสอดแบบAcademy Fantasia ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับหมี  วุ่นวายกับหมี และไม่เกาะหมีดัง แต่เมื่อถึงที่สุดจะด้วยอิจฉา จะด้วยตาร้อน เทียบกับหมีที่ตาดำ    อดไม่ได้ให้ตายสิ  ตบะแตกจนได้  จึงต้องมาเกาะหมีหากินเสียหน่อย เดียวจะหาว่าเชย  ไม่มีหัวจิตหัวใจ ไร้วิญญาณ ต่อมความรับรู้ต่อสังคมตื้นเขิน

       การที่ทั้งภาครัฐ เอกชน  รณรงค์ ส่งเสริมหมี จนกระทั่งเกิดกระแส “หมี หมี หมี” เพื่อจะให้คนไทย ลืมอะไรบางอย่างในประเทศ เที่ยวไทย จับจ่าย และมีความสุขกับหมีขอบตาดำ ก็คงพอกล้อมแกล้มได้มั้ง เป็นการจัดการเชิงเศรษฐกิจ ประชาชนมีความสุข(ฉาบฉวย) ว๊อบ ๆ แว๊บ ๆ ก็คงจะพอได้มั้ง เผื่อคนไทยจะลืมปัญหาปากท้อง ลืมการเผชิญหน้าทางการเมืองได้  เหมือนนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าอเมริกาก่อสงครามนอกประเทศ ในสมัยประธานาธิบดีบุช ต่อกรณีอิรัก และอัฟกานิสถาน เพื่อเบี่ยงปัญหาความถดถอยของเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือการที่นักวิเคราะห์บอกไทยเผชิญหน้ากับเขมรเมื่อไม่นานมานี้มีการตรึงกำลังทางทหาร ประชิดชายแดน   เป็นการดึงจิตออกไปจากปัญหาภายใน  รวมถึงเขมรใช้นโยบาย”ชาตินิยม” ชูธงการเลือกตั้งในกัมพูชา  จนกบ สุวนันท์   คงยิ่ง กลายเป็นแพะ สถานทูตไทยในกรุงพนมเปญถูกเผา นักวิเคราะห์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ก็ฟันธงว่าเป็นการส่งภาพภาพของผู้นำที่เด็ดขาดอย่างฮุนเซ็น เพื่อกลบกระแสการเมืองภายในประเทศก่อนการเลือกตั้ง ถ้าภาษาพระต้องบอกว่าเป็นการ “ส่งจิตออกนอก” แต่การส่งจิตออกนอกในภาษาพระถือว่าเป็นทุกข์เพราะส่งจิตไปเสวยอารมณ์ ความโกรธ เกลียด ชิงชัง ปรุงแต่งไปตามสภาพอารมณ์ที่เข้ามากระทบ ท่านจึงห้าม “มิให้ส่งจิตออกนอก” (ม.อุ.14/313-322/380-398)

       อันนี้ก็นำมาเล่าเบา ๆ แล้วกันว่าหมีในคัมภีร์พุทธกล่าวไว้อย่างไรบ้างก็มีดีหมี  น้ำมันเหลวหมี หนังหมี  และข้อห้ามสำหรับพระภิกษุที่ห้ามฉันเนื้อหมี ด้วยเหตุที่มีหมีมาทำร้าย เพราะได้กลิ่นเนื้อหมีที่ติดตัวจากผุ้บริโภคเนื้อหมีนั้น  แต่ที่อยากนำมาเล่าเกี่ยวกับหมีในกระแสหมีขอบตาดำแรง คือเรื่อง“หมี ต้นตะคร้อ และเทวดา” (ขุ.ชา 27/14/398-ผันทนชาดก)

       ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ความขัดแย้ง หมีอาศัยร่มเงาของต้นตระคร้อ แต่บังเอิญลมพัดแรง  กิ่งไม้หักตกใส่หมี  ตื่น และโกรธที่บังอาจทำให้ตื่น  เลยสั่งสอนต้นตระคร้อด้วยการข่วนไปหลายที

พร้อมขู่ว่า “เจ้ารุกขเทวดาบังอาจมาแกล้งเราระวังไว้เถอะ จะพาคนมาตัดรากถอนโคนต้นไม้เจ้าเสีย”

เจ้าหมีพูดจริงทำจริงเสียด้วยสิ “พอช่างล้อเกวียนผ่านมา ก็พูดจาภาษาหมี ให้คนตัดต้นตระคร้อ เพื่อแก้แค้น ฐานทำให้ตื่น เชียร์อย่างดีว่า ต้นตระคร้อเป็นต้นไม้ที่ดี ดีกว่าไม้อื่นใด ตัดไปทำล้อรถจะทนทาน สวยงามงาม “แน๊ะโฆษณาสรรพคุณเสร็จสรรพ ดีนะไม่จ้างล็อบบี้ยิสมาดำเนินการอีกทอด

รุกขเทวดาประจำต้นตระคร้อก็อยู่ไม่ได้ละสิ มีคนกำลังมาเรื้อบ้าน  ก็แปลงกายเป็นชายผ่านมา ถามได้ความก็แนะนำเพิ่มว่า “ล้อของพวกท่านต้องได้หนังหมีมาหุ้มด้วยถึงจะสวย  โดยเฉพาะเจ้าหมีที่แนะนำให้ทำตัดต้นตระคร้อนี่แหละ”

หมีตาย ถูกใช้หนังหุ้มล้อเกวียน ต้นตระคร้อถูกตัด รุกขเทวดาไม่มีที่อยู่บ้าน

ความอิจฉา ริษยา ดังที่ผู้เขียนอิจฉาหมีขอบตาดำ  รวมทั้งความโกรธ เกลียด ความขัดแย้งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับใครทั้งสิ้น ไม่รู้จะเหมือนหมีที่โฟนอินเข้าบ่อย ๆ ให้เห็บ หมัด ที่เกาะอาศัยกินอยู่กับหมี ล่ารายชื่อยื่นฎีกา เพื่อฟันต้นตะคร้อ(มาตุภูมิที่อาศัยหลับนอน หลบแดนฝน)  ส่วนรุกขเทวดา(อภิสิทธิ์ชน) ก็สะกัดกั้นหมีทุกวิธี ไม่ให้โฟนอินได้ ไม่ให้โผล่สื่อ ไล่ยึดหนังสือเดินทางหมี  รวมทั้งล่าลายชื่อไม่ให้ฎีกา  ทั้งที่หมี เห็บ หมัด ก็อาศัยต้นตระคร้อ  รุกขเทวดา แมลงหวี่ นกกา  ก็อาศัยต้นตระคร้อ ถ้าจะเทียบง่าย ๆ ต้นตะคร้อควรยังอยู่ หมีกับเทวดาเปลี่ยนได้ ตายได้ อย่าหวังลม ๆ แล้งกับหมี และอย่าคาดหวังกับรุกขเทวดาเลย ให้อยู่กับความเป็นจริง ณ ปัจจุบันให้มากที่สุด  ไม่ว่าหมีขอบตาดำหรือรุกขเทวดา(อภิสิทธิ์ชน)จะชนะ แต่ต้นตระคร้อย่อมได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน จากความขัดแย้งที่กำลังก่อตัวอีกระลอก และถ้ายากจนเกินการควบคุม  ต้นตระคร้อและหมีก็คงต้องเป็น “เครื่องมือ” ให้กับช่างทำล้อ  ทำเกวียน ที่เข้มแข็งกว่า (ไม่ต้องอื่นไกลแค่ประเทศในอาเซียนก็พอ) คว้าเอาทั้งหนังหมีและล้อเกวียนไปขับเล่นสบาย 

หยุดดีกว่าไหมหมี และรุกขเทวดา หยุดชำเราต้นตระคร้อ  

เพราะถ้ายังไม่ข้ามพ้นความขัดแย้ง  การเผชิญหน้าในทุกกรณี  ต้นตะคร้อแห่งประเทศไทยนั่นแหละจะซ้ำ นก หนู แมลง รากหญ้าที่ได้อาศัยบนต้นไม้ใบบังก็จะไร้ที่อยู่อาศัย ไม่รู้ว่าจะต้องหันไปพึงหมีเป็นยาระงับปวด แก้ฟุ้งซ่าน และรวมไปถึงเอา “หลินปิง”  มาการตลาดหาตังกันข้อติดให้ก็คงจะพอแก้ขัดได้มั้ง

อ้าว...คุยเรื่องหมีลงยื่นฎีกา..ค้านฎีกา....โดยหมีและรุกขเทวดา .ตัวใครตัวท่าน...ละครับ

หมายเลขบันทึก: 287787เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2009 20:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม 2012 03:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท