“ใส่ใจ ใสวิถีชีวิต”


“ใส่ใจ ใสวิถีชีวิต”

โดยส่วนใหญ่แล้วงานในห้อง ER ที่พวกเราทำอยู่ทุก    วันนั้น  มักไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับคนไข้มากนัก  เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของอุบัติเหตุหรือไม่ก็ฉุกเฉิน  ดังนั้นคนไข้ที่เข้ามาที่ห้องนี้ก็จะเป็นเพียงคนไข้ที่แวะเวียนเข้ามาสักพักแล้วก็ไป  เช่น  แวะเข้ามาพ่นยาบ้าง  ให้ O2 บ้าง  หรือนอน  observe อาการ  หรือทำ treatment ก่อนเข้า Ward บ้าง  หนักหน่อยก็ฉุกเฉินมาจากบ้านแล้วแวะเข้ามาให้เรา CPR ก่อนจะ Refer ต่อไปที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า  อันนี้ก็พอมีมาเป็นระยะ    บ้างเหมือนกัน  แต่ก็ยังมีคนไข้อยู่อีกกลุ่มหนึ่งเช่นกันที่เราจะต้องเจอกันอยู่แทบทุกวัน  หรือจะเรียกว่าทุกวันก็ว่าได้  คนไข้กลุ่มนี้ก็คือ  คนไข้ที่เข้ามาทำแผลเรื้อรังนั่นเอง  และหนึ่งในนั้นก็มีคนไข้รายหนึ่งซึ่งมีวิถีชีวิตที่น่าสนใจ  และพวกเราชาว ER ทุกคน  สามารถพูดได้เต็มปากว่า  คนไข้รายนี้เป็นอาจารย์ที่ให้บทเรียนเกี่ยวกับการดูแลคนไข้แบบ Humanized ให้กับพวกเราได้เป็นอย่างดี  ฉันในฐานะตัวแทนของชาว ER ที่นี่  ก็อยากมีโอกาสถ่ายทอดประสบการณ์ดี    ของเรา  เพื่อแลกเปลี่ยนกับโรงพยาบาลอื่น    บ้าง  ทั้งที่จริง    แล้วถ้าหากเล่าไปแล้ว  ในช่วงแรก    ของเนื้อหานั้น

            จากคำว่า  พยาบาล  เราอาจจะถูกประเมินว่าเป็น พยามาร  ก็ตาม  ถ้าไม่เชื่อ  คุณผู้อ่านก็ลองอ่านต่อให้จบซิค่ะ

            ป้ากลอยใจ  เป็นหญิงชรา  ผมขาว  อายุ  75  ปี  มีแผลเรื้อรังที่บริเวณตาตุ่มทั้ง  2 ข้าง ทุก    วันตอนเย็น  จะมีญาติผู้หญิงคนหนึ่งพาป้ากลอยใจซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์มาทำแผล  แรก    ที่มาพวกเราก็มักจะหงุดหงิด  (แต่ไม่เคยแสดงออกให้แกเห็นนะค่ะ)  ก่อนจะไปทำแผลให้ป้ากลอยใจเราก็จะแอบถอนหายใจ  แล้วบ่นว่า  เคยบอกไปแล้วนะว่าคนไข้ที่มาทำแผลนะให้มาในเวลาราชการ  เสร็จแล้วเราก็จะปรับสีหน้าตัวเองให้เข้าที่ก่อนแล้วจึงออกไปทำแผลให้แก  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าห้องฉุกเฉินของเรานั้นในช่วงตอนเย็นเราจะมีคนไข้มาตรวจตลอด  แล้วพยาบาลก็จะทำหน้าที่ตรวจรักษาแทนแพทย์  ยกเว้นในรายที่มีปัญหาซึ่งเราไม่สามารถตัดสินใจเองได้  เราก็จะโทรศัพท์ปรึกษาแพทย์  หรือตามแพทย์ให้ลงมาดูคนไข้เอง  ดังนั้น  ผู้ป่วยที่ต้องทำแผลหรือมาฉีดยาตามใบนัด  เราจึงแนะนำว่าให้มาในเวลาราชการ  โดยเฉพาะช่วงบ่าย    เพราะคนไข้จะน้อย  แล้วจำนวนพยาบาลที่อยู่เวรเช้าก็จะมีมากกว่าเวรบ่าย  คนไข้จะได้ไม่เสียเวลารอนาน  แต่ถ้าคนไข้พวกนี้มาตอนเย็นถ้ามีคนไข้ที่เร่งด่วนเราก็จะให้บริการคนไข้ที่ไม่สบายก่อน  ทำให้คนไข้พวกนี้ต้องรอนาน  เห็นไหมค่ะเราเองเราก็คิดว่าเราหวังดีกับป้ากลอยใจแล้วนะ  แต่ป้ากลอยใจไม่เคยปฏิบัติตามความหวังดีของเราเลย  ดังนั้นถ้าวันไหนป้ากลอยใจมาเจอช่วงที่มีคนไข้ที่ต้องตรวจเยอะ  ก็ต้องร้องเพลงรอนานหน่อย  แต่ป้ากลอยใจก็รอเราได้โดยที่ไม่เคยปริปากบ่นเรื่องที่ต้องรอรับบริการนานเลย

            ช่วงแรก    ที่ป้ากลอยใจมาทำแผล  แผลจะไม่ค่อยดีเลย  ลักษณะแผลเป็นแบบหนังเปื่อย  และสีซีดมี discharge ซึมติดผ้าก๊อซมาทุกวัน  แถมพอเปิดแผลแล้วยังมีกลิ่นโชยออกมาอีกต่างหาก  แล้วลักษณะของนิ้วมือและนิ้วเท้าที่ดูเหมือนจะกุด    อยู่ทำให้เราอดสงสัยอะไรบางอย่างไม่ได้  แต่ตอนหลัง  แพทย์ส่งเชื้อที่ผิวหนังให้แล้ว  ผลปกติเราจึงพลอยโล่งใจไปกับป้ากลอยใจด้วย  ตอนใหม่    ที่มานั้น  เราต้องนำรถเข็นนั่งไปรับถึงที่รถมอเตอร์ไซด์  เพราะป้ากลอยใจจะเจ็บแผลมากเดินไม่ไหว  เวลาขึ้นเตียงทำแผลก็ทำท่ากระย่องกระแย่งปีนขึ้นไป  (เพราะว่าเตียงสูงแต่ตัวแกเตี้ย)  โดยที่มีพวกเราคอยประคองปีกให้แกคนละข้าง  เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำ    กันเป็นเวลานานนับเดือน  โดยที่แผลก็ไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่  พวกเราจึงปรึกษากันกับแพทย์  เพื่อหาวิธีที่จะทำให้แผลหายเร็วขึ้น  แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า  ก่อนมาทำแผลเราจะให้ป้ากลอยใจแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นก่อนมาจากบ้าน  แล้วหลังทำแผลเสร็จเราจะใช้ Silver cream ใส่แผล  ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียวหลังจากทำแผลด้วยวิธีนี้ได้ไม่นานแผลก็ดีขึ้นเรื่อย    จนระยะหลัง    ป้ากลอยใจสามารถลงจากรถมอเตอร์ไซด์ได้เอง  และเดินไปขึ้นเตียงทำแผนเองได้อย่างสบาย 

            และแล้ววันหนึ่ง (ซึ่งฉันคิดว่ามันมาถึงช้าไปหน่อย)  ขณะที่ฉันอยู่เวรบ่ายป้ากลอยใจก็มาทำแผลตามเวลาเดิมที่เคยมา  วันนั้นไม่มีคนไข้อื่นที่รอรับบริการ  ฉันจึงได้มีโอกาสคุยกับป้ากลอยใจนาน    เป็นครั้งแรก  หลังจากฉันแอบถอนหายใจ  และปรับสีหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  (ทั้ง    ที่ในตอนนั้นก็ไม่มีคนไข้อื่น  แล้วทำไมฉันถึงต้องถอนหายใจด้วยนะ)  ฉันก็ชวนน้องพยาบาลอีกคนหนึ่งเข้าไปทำแผลให้ป้าตามปกติ  วันนั้นฉันคิดว่าเป็นโอกาสดีที่ไม่มีคนไข้อื่น  เพราะฉะนั้นฉันจะต้องคุยกับป้าเรื่องการมาทำแผลในเวลาราชการให้รู้เรื่อง  ขณะที่ฉันเดินไปที่เตียงทำแผลป้ากลอยใจก็ยิ้มทักทายฉันเหมือนเช่นเดียวกับทุกครั้งที่แกมาทำให้ฉันรู้สึกสะดุดกับความตั้งใจของตัวเองตั้งแต่แรกที่จะมาคุยกับแกเรื่องเวลาในการมาทำแผล  แต่ฉันก็เริ่มคุย  ฉันเริ่มทำแผลไปคุยไป  ฉันถามว่า  ทำไมถึงมาทำแผลตอนเย็นทุกวัน  พร้อมกับอธิบายเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราถึงต้องการให้คนไข้มาทำแผลในเวลาราชการ  ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็เคยบอกไปแล้ว  วันนั้นบังเอิญญาติของป้ากลอยใจที่พามาก็เข้ามายืนอยู่ที่ข้างเตียงทำแผลด้วยญาติคนนี้ชื่อป้าบุญล้อม  ซึ่งมีศักดิ์เป็น

หลานสะใภ้  เราพูดกับป้ากลอยใจจบแล้ว  ป้าบุญล้อมก็เลยเป็นฝ่ายตอบคำถามให้เอง  ป้าบุญล้อมเล่าให้เราฟังว่า  เหตุที่ป้าบุญล้อมต้องพาคนไข้มาทำแผลในตอนเย็นก็เพราะว่าในตอนกลางวันป้าบุญล้อมต้องออกไปทำงาน  ป้าบุญล้อมและสามีมีอาชีพรับจ้างทั่วไปอยู่ในหมู่บ้าน  ซึ่งก็แล้วแต่ว่าผู้จ้างจะให้ทำอะไร  เช่น  ให้ดายหญ้า  ฟันกิ่งไม้  หรือถ้าเป็นฤดูทำนาก็จะไปรับจ้างดำนา  เกี่ยวข้าว  อาชีพอีกอย่างหนึ่งของป้าบุญล้อมคือ  รับซื้อขี้วัวจากชาวบ้านนำมาขายให้กับชาวไร่  แต่การรับซื้อนั้นป้าบุญล้อมและสามีก็ต้องไปขนขี้วัวมาจากคอกของผู้เลี้ยงเอง  ซึ่งนับว่าเป็นงานที่น่าเหนื่อยพอดู  ทั้งป้าบุญล้อมและสามีนั้นถือได้ว่าต้องเป็นหลักของครอบครัวนี้เลยทีเดียว  ในบ้านของป้าบุญล้อมนั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด  7  คน  คือ  ตัวป้าบุญล้อมและสามี  ป้ากลอยใจซึ่งเป็นพี่สะใภ้  ลูกสาวและลูกเขย  และหลานอีก  1  คน  ส่วนลูกชายอีกคนของป้าบุญล้อมนั้น  ขณะนี้กำลังเป็นนักเรียนนายสิบ  ซึ่งเหลือเวลาอีก  1  ปี  กว่าจะเรียนจบ  ดังนั้นทั้งป้าบุญล้อม  และสามีจึงต้องทำงานอย่างหนัก  เพื่อจะเลี้ยงคนในครอบครัวให้อยู่รอดได้  ซึ่งนอกจากป้ากลอยใจที่มีปัญหาเรื่องแผลและต้องพามาทำแผลที่โรงพยาบาลทุกวันแล้ว  ป้าสมจิตรที่เป็นญาติอีกคนหนึ่งเอง  ก็มีปัญหาสุขภาพไม่น้อยไปกว่าป้ากลอยใจเลย  ป้าสมจิตรที่ว่านี้มีโรคประจำตัวคือ  โรคเบาหวานและโรครูมาตอยด์  แล้วจะมีอาการปวดตามข้ออยู่ตลอด  บางครั้งก็จะมีอาการไม่สบายเป็นไข้เป็นระยะ    แต่ก็ไม่สามารถมาโรงพยาบาลได้  ทุกครั้งที่ไม่สบาย  บางครั้งถ้าหากยังมียาเก่า    เหลืออยู่ป้าสมจิตรก็จะอาศัยกินยาชุดเก่าที่เคยได้จากโรงพยาบาลไป  เพื่อให้พอประทังอาการไปได้  ป้าบุญล้อมบอกเราว่า  ในแต่ละครั้งที่ป้าสมจิตรได้มีโอกาสมารับยาที่โรงพยาบาล  เมื่อกลับไปบ้านแล้วป้าสมจิตจะพยายามกินยาให้น้อยที่สุด  เพื่อที่จะให้มียาเหลือ  เอาไว้สำหรับกินเวลาที่ป่วยในครั้งต่อไป  จะได้ไม่ต้องลำบากเพื่อมาโรงพยาบาลบ่อย 

            หลังจากที่ฉันได้ฟังป้าบุญล้อมเล่าถึงเรื่องต่าง    นี้แล้ว  โดยที่ป้าบุญล้อมเล่าแล้วฉันก็คอยซักถาม  จนฉันลืมเรื่องที่ตั้งใจจะพูดตั้งแต่ทีแรกไปเลย  พอฉันฟังจบฉันก็เกิดความรู้สึกเป็นมุมกลับจากเดิม  จากความคิดเดิมของพวกเราที่ว่า  เราต้องการให้คนไข้ประเภทนี้มารับบริการในเวลาราชการ  เนื่องจากเหตุผลที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น  เราก็ได้มองเห็นข้อเท็จจริงที่ว่า  ผลทุกอย่างที่เกิดขึ้น  ย่อมมาจากเหตุที่มีมาก่อน  เรื่องทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น  (ฉันเคยได้ยินตอนที่โรงพยาบาลอบรมเรื่องการ counseling ให้แก่เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล)  ตอนนี้พวกเรารู้ซึ้งแก่ใจแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นป้ากลอยใจ  ป้าอะไร    หรือลุงหรือยายอะไร    ก็ตามที่มักจะมาโรงพยาบาลนอกเวลาราชการ  โดยที่ไม่ได้มีอาการป่วยรุนแรงหรือเป็นเหตุฉุกเฉินใด    เลยนั้น  พวกเราก็คงมีความจำเป็นจริง    เนื่องจากวิถีชีวิตที่เป็นไปอย่างนั้น  ฉันเองฉันก็ลองมองย้อนดูตัวเองเหมือนกัน  บางครั้งในเวลาที่พ่อ  แม่  สามี  หรือลูกของฉันเกิดการเจ็บป่วย  ฉันยังสมัครใจที่จะไปคลินิกในตอนเย็น  ฉันยอมเสียเงินเพราะฉันไม่มีเวลาที่จะพาพวกเขาไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์เฉพาะทางในช่วงเวลาทำงาน  แต่ผู้ป่วยของพวกเราเหล่านี้เขาไม่สามารถจ่ายได้เช่นเรา  พวกเขาจำเป็นจะต้องใช้สิทธิในการรักษาฟรีของตัวเองที่มีอยู่  แล้วมารับบริการในตอนเย็น  หลังจากเลิกเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานแล้ว  ซึ่งถ้าจะพูดันตามตรงพวกเราก็มีหน้าที่ให้บริการคนไข้ตลอด  24  ชั่วโมงอยู่แล้วนี่นา

            วันนั้นเรา  (ฉันและน้องพยาบาล  ป้ากลอยใจและป้าบุญล้อม)  เราทำแผลกันไปคุยกันไปจนใช้เวลานานกว่าที่เคย  พอทำแผลเสร็จฉันทีความรู้สึกว่าวันนี้แผลของป้ากลอยใจดูดีกว่าทุกวันที่ผ่านมา  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเราใช้เวลาในการทำแผลนานขึ้นหรือว่าเราได้ใช้ความปราณีตบรรจงในการทำแผลมากขึ้นก็ไม่ทราบได้  แต่ที่แน่    ฉันเกิดความรู้สึกอย่างนั้นจริง    นอกจากจะทำแผลของป้ากลอยใจอย่างสะอาดเอี่ยมแล้ว  เรายังได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องของป้าสมจิตรอีกคนหนึ่ง  เราบอกฝากป้าสมจิตรไปกับป้าบุญล้อมว่า  ป้าสมจิตรสามารถนำยาจากโรงพยาบาลไปขอรับต่อที่สถานีอนามัยได้  แต่ถ้าไม่สบายมากแล้วมาโรงพยาบาลไม่ได้  ทางโรงพยาบาลของเราก็มีบริการโทร  1669  ที่พร้อมจะออกไปรับผู้ป่วยที่บ้านได้  ป้าบุญล้อมก็รับคำแล้วขอบคุณในคำแนะนำของเรา  หลังจากนั้นไม่นาน  เราก็ได้มีโอกาสมอบบริการ  1669  ให้แก่ป้าสมจิตรอยู่หลายครั้ง  จนระยะหลัง    ป้าสมจิตรอาการดีขึ้น  จากคนที่ลุกเดินไม่ไหว  ช่วยเหลือตัวเองลำบากก็กลายมาเป็นคนที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดี  เดินได้  ถึงแม้จะไม่ค่อยถนัดนัก  และในระยะหลังนี้เอง  ป้าสมจิตรก็ปฏิเสธบริการ  1669  ของเราอย่างสิ้นเชิง  เนื่องจากว่าป้าสมจิตรสามารถซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์มาโรงพยาบาลได้เอง  ซึ่งคนที่พามาก็หนีไม่พ้นป้าบุญล้อมนั่นเอง

            จากประสบการณ์ที่ฉันได้เล่ามานี้อย่างแรกฉันรู้สึกทึ่งในตัวป้าบุญล้อม (คนที่พาป้ากลอยใจมาทำแผล)  เป็นอย่างยิ่ง  แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความละอายในตัวเองขึ้นมาเช่นกัน  ฉันได้คิดว่า  เราเองเป็นพยาบาลผู้มีหน้าที่ให้บริการแก่คนไข้  และมีเงินเดือนเป็นการตอบแทนในการทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว  แต่ป้าบุญล้อมเอง  มีหน้าที่ต้องดูแลป้ากลอยใจ  แถมป้าสมจิตรและลูก    หลาน    ด้วย  โดยที่ป้าบุญล้อมไม่เคยได้อะไรตอบแทนจากคนเหล่านี้เลย  ซ้ำยังต้องเป็นผู้เลี้ยงดูคนเหล่านี้อีกต่างหาก  ทั้ง    ที่ป้าบุญล้อมเองเป็นแค่เพียงเกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้เพียงเพราะว่าคนเหล่านี้เป็นพี่น้องกับสามีของตนเอง  แต่ก็ทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี  ทุกครั้งที่ป้าบุญล้อมพาคนไข้มาทำแผล  จะเรียกพวกเราว่า  หมอ  และมักจะถามพวกเราว่า  หมอกินข้าวกันหรือยัง  มาเวลานี้ก็เกรงใจหมอเหมือนกัน  หมอกินข้าวกันก่อนก็ได้นะ  ฉันรอได้  บางครั้งถ้าเวลาที่มาเจอคนไข้เยอะ    พอถึงคิวทำแผลของป้ากลอยใจ  ป้ากลอยใจก็จะพูดว่า  เป็นหมอนี่ก็เหนื่อยนะ  คนไข้เยอะแยะ  ถึงเวลาแล้วก็ยังไม่ได้กินข้าว  รู้สึกว่าป้ากลอยใจมักจะเป็นห่วงพวกเราอยู่เสมอว่า  ถึงเวลาเย็นแล้ว  พวกเราได้กินข้าวกันหรือยัง  และหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดของคนเหล่านี้แล้ว  ฉันก็ได้นำไปถ่ายทอดให้พวกเราทุกคนใน ER  ฟัง  พวกเราทุกคนมีความรู้สึกไม่แตกต่างไปจากฉัน  ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่าคนไข้ที่มาแต่ละคนนั้น  อาจมีเรื่องราวความจำเป็นหรือต้องประสบกับความลำบากที่แตกต่างกันไป  ถ้าเราสามารถวางจิตใจให้เข้าถึงปัญหาความจำเป็นของคนเหล่านี้ได้  เราก็จะทำงานกันอย่างมีความสุขและอิ่มเอิบในการที่ได้มีส่วนในการช่วยเหลือบุคคลเหล่านั้น  พวกเราได้รู้แล้วว่า  การดูแลคนไข้โดยใช้วิชาการนั้นสามารถทำให้คนไข้หายได้ก็จริง  แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราใช้วิชาการร่วมกับหัวใจ  นอกจากคนไข้จะหายดีแล้วก็ยังจะได้ความสุขกลับบ้านไปด้วย  รวมถึงตัวเราเองก็จะได้ความสุขจากการปฏิบัติงานในครั้งนั้นด้วย  ขอบคุณป้ากลอยใจ  และป้าบุญล้อมที่ได้ให้บทเรียนอันมีค่านี้แก่พวกเรา

            ปล.  ทุกวันนี้ป้ากลอยใจไม่ได้มาโรงพยาบาลแล้ว  เพราะแผลหายดีแล้ว  ส่วนป้าสมจิตรเอง  เวลามาโรงพยาบาลก็จะซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ป้าบุญล้อมมา  ป้าสมจิตรชอบพูดเล่นกับพวกเราว่าฉันไม่ต้องง้อบริการ  1669  ของหมอแล้ว  ส่วนป้าบุญล้อมนางเอกของพวกเรา  ก็ยังคงประกอบอาชีพรับจ้างแบบเดิม  และยังต้องดูแลคนในครอบครัวนี้เหมือนเดิม  พวกเราต่างภาวนาว่าสักวันหนึ่ง  เมื่อลูก  ๆ ของป้าเรียนจบ  มีงานทำ  ก็จะสามารถดูแลครอบครัวนี้แทนตัวป้าบุญล้อมได้  ถึงวันนี้ป้าบุญล้อมคงสบายขึ้น  หวังว่าวันนั้นคงมาถึงในเร็ววันนี้

หมายเลขบันทึก: 286086เขียนเมื่อ 11 สิงหาคม 2009 10:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 08:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
  • ตามมาเชียร์ทีม SHA
  • ชอบบันทึกแบบนี้จังเลยครับ
  • เป็นการดูแลผู้ป่วยด้วย Humanized Health Care จริงๆ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท