เรื่องน่าประทับใจ (อายุ 3 ปี 1 เดือน - 3 ปี 6 เดือน)


เด็ก .. ไม่เล็กอย่างที่คิด

1.  มีเงินแล้วยัง       (3 ขวบ 1 เดือนครึ่ง - 16 ธ.ค. 49)

วันนี้คุณพ่อ-คุณแม่พาธรรศกับธรณ์ไปคาร์ฟู  สาขาพระราม 4      ซึ่งคุณย่ากับอาแหม่มตามไปสมทบทีหลัง     ช่วงหนึ่งของการสนทนา  ธรรศก็ถามว่า

ธรรศ      - คุณแม่ครับ      คุณแม่มีเงินเยอะแล้วยัง

คุณแม่    - ยังไม่เยอะครับ    คุณแม่ต้องทำงานอีกนิดหน่อยนะ

ธรรศ      - ถ้าคุณแม่มีเยอะแล้วคุณแม่จะซื้อให้พี่ธรรศใช่มั้ยครับ

คุณแม่    - ใช่ครับ  แม่สัญญาแล้วไง    แต่พี่ธรรศต้องรอให้คุณแม่เก็บเงินก่อนนะ

ซึ่งคุณย่าก็ถามด้วยความสงสัยว่าแม่-ลูกเค้าคุยเรื่องอะไรกัน     ที่มาของเรื่องก็คือ    แม่เคยซื้อ CD เรื่องเฮอคิวลิสให้ดู      หลังจากดูหลายรอบแล้ว   แผ่นก็หัก 1 แผ่น  ด้วยฝีมือของนายคนไหนคนหนึ่งนี่แหละ      ซึ่งธรรศกับธรณ์ก็ขอให้คุณแม่ซื้อให้ใหม่เพราะชอบเรื่องนี้   แม่ก็สัญญาว่าจะซื้อให้    แต่บอกว่า  "  ต้องรอให้คุณแม่ทำงาน  เก็บเงินก่อนนะ   เพราะ CD  มันแพงเหมือนกัน "      ทั้ง 2 คน  ก็ตกลงรอตามที่แม่บอก     จนผ่านไป 1 เดือนเศษ  แม่ก็ยังไม่ได้เอา CD มาให้      ซึ่งธรรศกับธรณ์ก็จะคอยถามอยู่เรื่อยว่า   "  ... คุณแม่มีเงินแล้วยัง   ...  คุณแม่ต้องทำงานเยอะมั้ย   ....   CD มันแพงเหรอแม่  "

ที่จริงแม่ก็ซื้อไว้ตั้งแต่ลูกบอกแล้วล่ะ แต่ประวิงเวลาไว้   เพราะไม่อยากให้ลูกได้อะไรง่ายเกินไป     เร็วทันใจเกินไป     และอยากให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่ต้องทำงาน  ต้องเก็บเงิน  ต้องใช้เวลาถึงจะมีเงินซื้อของ     ซึ่งคุณย่าฟังแล้วก็เห็นด้วย     

ณ  ตอนนั้นลูกอาจรู้สึกว่าแม่ไม่ตามใจลูก    ไม่ใจดีเลยกับลูกเลย      แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงวัยที่ลูกคิดอะไรได้เอง     ลูกจะรู้ว่าสิ่งที่แม่ไม่ตามใจลูก  ไม่ใจดีกับลูกในวันนั้น  ก็เพราะแม่รักลูก  ไม่อยากทำร้ายลูกทางอ้อมด้วยการตามใจแม้แต่ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ      เพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้  เมื่อมันพอกพูนไปเรื่อยๆ  ก็จะกลายเป็นความเคยชิน  เป็นความปกติของลูก   ซึ่งถ้าเป็นเรื่องในด้านบวกก็ดีไป    แต่ถ้าเป็นเรื่องด้านลบ  ก็จะกลายเป็นว่า  ตัวแม่เองก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำร้ายลูกทางอ้อม ... แม่รักลูกนะ

 

2.  ทำไมต้อง   0 , 1 , 2 , 3  เหรียญ       (3 ขวบ 1 เดือนครึ่ง - 16 ธ.ค. 49)

ที่คาร์ฟูจะมีเครื่องเล่นสำหรับเด็กแบบหยอดเงินด้วย      วันนี้ธรณ์ถามคุณแม่ว่า

ธรณ์       -  คุณแม่ครับ    ธรณ์ขอเล่นของเล่นได้มั้ยครับ

คุณแม่    - ได้ครับ    แต่คุณแม่ให้ธรณ์  1  เหรียญนะ 

พอแม่พูดจบปุ๊บ       เครื่อง  ATM  หน้าตาเหมือนคุณย่าก็รีบทำงานทันทีโดยไม่ต้องกดรหัส.....     ควักเหรียญ 10 บาท  ออกมา   1  กำมือ (กำมือจริงๆ) จากกระเป๋ามาให้หลานชายหยิบ

ธรณ์       -  ขอบคุณครับ     แล้วหยิบเหรียญ 10  จากมือคุณย่า   1  เหรียญ  วิ่งปร๋อไปทันที

คุณย่า     -  เออ! ดีนะรู้จักฟัง   ( คุณย่ายิ้มๆ   แต่ไม่ได้คะยั้นคะยอให้หยิบเหรียญเพิ่ม )

ปกติถ้าลูกอยากเล่นของเล่นแบบหยอดเหรียญ   แม่จะไม่ให้ลูกเล่นตามความต้องการของลูกเอง   แต่จะบอกว่าให้เล่นได้กี่เหรียญ     บางครั้งให้  1  เหรียญ....   บางครั้ง  2 ... บางครั้ง 3...     หรือบางครั้งแม่ก็จะไม่ให้เลยก็มี       ทั้งนี้เพราะ

-  ไม่อยากให้ลูกเคยชินว่าถ้าไปที่ๆ มีของเล่น   ก็ต้องได้เล่นเสมอ

-  การที่ให้เล่นแต่ละครั้งไม่เท่ากันเพราะ   เด็กบางคนเคยได้เล่น 3  ครั้ง    ก็จะติดว่า ถ้าได้เล่นต้องเล่น 3 ครั้ง     แม้ว่าบางครั้งไม่อยากเล่น    ก็เล่นแป๊บเดียว  แต่ให้หมด 3 เหรียญ ตามที่เคยได้     ดังนั้นแม่จึงให้มากบ้าง    น้อยบ้าง  ตามความเหมาะสม

- บางครั้งก็ไม่ให้เล่นเลย    ก็จะให้เหตุผลที่เป็นรูปธรรม  ที่เค้าจะเข้าใจได้ง่าย   เช่น   มีธุระแม่ / พ่อต้องรีบไป ...   มันค่ำแล้ว ต้องกลับบ้านได้แล้วนะ...     แม่ซื้อของเยอะแล้ว  วันนี้ไม่มีเงินให้เล่นของเล่นนะ     

- บางครั้งก็จะให้ลูกเลือกว่า  จะเล่นของเล่น   หรือจะทานขนม   หรือถ้าเล่นของเล่น  ก็ไม่มีเงินซื้อนม / ผัก / ผลไม้   ฯลฯ ....   ให้เลือกว่าจะเอาแบบไหน  

ทั้งหลายเหล่านี้เพื่อให้ลูกรู้จักคิด   มีเหตุผล   รู้จักประเมินว่าตัวเองอยากได้อะไร   จะเลือกอะไร    เพราะต่อๆ ไป  ลูกจะได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่า  " ไม่มีใครได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เราต้องการ  และบางครั้งเราต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น  "         แม่จึงอยากปูทางให้ลูกค่อยๆ รับรู้กับสิ่งเหล่านี้   โดยเริ่มจากเรื่องง่ายๆ  เรื่องใกล้ตัว  เพื่อที่ลูกจะได้รู้จักปรับตัว   หาทางออกให้กับตัวเอง    

แม่คิดเสมอว่าถ้าลูกมี   " ภูมิคุ้มกันตัวเอง"  มากเท่าไหร่      ลูกจะอยู่ในโลกใบนี้อย่างมีความสุข  โดยที่บางครั้งลูกอาจไม่ได้มีสิ่งประกอบภายนอกมากกว่าคนอื่น     แต่การที่ลูกรู้จักตัวเอง   รู้จักประมาณตัวเอง  มีวินัยในตัวเอง  ก็ทำให้ตัวเองเป็นสุขได้แล้ว

 

3.  คนอื่นเป็นอะไร                (3 ขวบ 2 เดือน - 26 ธ.ค. 49)

วันนั้นไปหัวหินทั้งบ้าน    ขณะนั่งในรถพี่เลี้ยงก็แกล้งกอดรัดธรรศแรงๆ


ธรรศ      - พี่ไร .. ธรรศเป็นคนนะ   (ที่จริงอาจอยากพูดว่า  เจ็บนะก็ได้)
พี่ไร        - (หัวเราะ)      อ้าว...แล้วคนอื่นเป็นอะไรล่ะ
ธรรศ      - เป็นขี้กลาก ...

คนอื่นๆ -  ฮ่าๆๆๆ   (ไม่รู้เอามาจากไหน)

4.  เมื่อแม่เจ็บ         ( 3 ขวบ 2 เดือนครึ่ง )

เมื่อวันที่ 15 ม.ค. แม่ขาแพลง   คุณหมอเลยให้ใช้ไม้เท้า    พอลูกๆ เห็นเท่านั้น  ต่างถามเป็นเสียงเดียวกันว่า

ธรรศ + ธรณ์         -   คุณแม่ครับ     คุณแม่เป็น ฒ. ผู้เฒ่า   เดินย่องเหรอ.....

...... แทนที่จะถามว่าแม่เป็นอะไร   เจ็บมั้ย   ... เรียนมากไปรึเปล่าลูกเอ๊ย!

ที่น่าประทับใจมากคือ ลูกทั้ง 2 คน จะมาช่วยบริการสารพัด    ช่วยยกเก้าอี้มาให้แม่นั่งชงกาแฟ    ช่วยหยิบช้อน    หยิบนม    ช่วยเป่าแผล     เวลาเดินแม่จะถือไม้เท้าด้านซ้าย  ธรรศจะมาจูงมือข้างขวา   ส่วนธรณ์จะช่วยดันข้างหลัง ... พยายามหาเรื่องช่วยจริงๆ

ช่วงที่เจ็บมีงานศพคุณอา (ก็เป็นคุณย่าของลูก)   แม่ก็พาลูกไปด้วย   โดยจะพาคนหนึ่งไปตอนฉันเพล      อีกคนก็พาไปตอนเผา   เพราะสภาพขณะนั้นไม่สามารถวิ่งตามลูกชายซนๆ  2 คนได้       ซึ่งลูกทั้ง 2 คน จะเดินจูงมือแม่    และช่วยถือกระเป๋าของแม่ตลอด   คุณพ่อจะมาช่วยก็ไม่ยอม    เค้าบอกจะช่วยถือให้คุณแม่เอง

ช่วงที่ขาเจ็บ    ธรรศกับธรณ์จะคอยถามตลอดว่า   " คุณแม่เจ็บมั้ยครับ "    และบ่อยครั้งที่ทั้งคู่จะตั้งตัวเป็นคุณหมอเถื่อน  โดยจะช่วยเป่าแผลให้ด้วย  (บางทีน้ำลายฟ่อดเลยค่ะ)   

ถ้าถึงคิวธรณ์มารักษา  เค้าจะทำปากขมุบขมิบแล้วบอกว่า  "โอม มะลุกกุ๊กกุ๋ย.... เพี้ยง "    แม่เห็นวิธีรักษาของคุณหมอธรณ์  ก็ขำนะคะ แต่ไม่กล้าหัวเราะ  เพราะกลัวคุณหมอหาว่า  ดูถูกฝีมือ (ฝีปากละมากกว่า)     เค้าไปบอกคุณครูทิพย์ (ครูประจำชั้น เตรียม/1) ด้วยค่ะว่า   ตอนนี้คุณแม่อุ้มเค้าไม่ได้     เพราะถ้าอุ้มคุณแม่จะเจ็บ

ตอนช่วงหลังที่พอเดินเองได้    ก็ไม่ได้ใช้ไม้เท้าแล้ว     ซึ่งพอธรรศเห็นไม้เท้าวางอยู่   เค้าจะหยิบไม้เท้าเอามาให้แม่    เพราะนึกว่าแม่ลืม

เจ็บครั้งนี้แม่ว่าคุ้มนะ ....     ปลื้มใจกับความมีน้ำใจของลูกทั้ง  2  คน 

 

5.  ช่างทำไฟ         ( 3 ขวบ 2 เดือนครึ่ง- 21 ม.ค. 50)

อาทิตย์ที่แล้วตอนพาลูกไปบ้านคุณยาย      คุณยายให้คุณพ่อช่วยดูสายไฟให้หน่อย   เพราะเมื่อคืนไฟห้องข้างบนดับ 3 ห้อง   แต่พอดีที่บ้านไม่มีเครื่องมือ    ก็เลยเช็คอะไรไม่ได้ แต่คุณยายก็บอกว่าได้เรียกช่างใกล้ๆ บ้านแล้ว   เพียงแต่อยู่ระหว่างรอช่าง

ขากลับบ้าน  ขณะนั่งในรถ   พอดีรุ่นน้องโทรมาหา (น้องคนนี้จะมาล้างแอร์ที่บ้านทุกเดือน และมาเดินสายไฟให้ด้วย)    พอลูกได้ยินแม่เรียกชื่อ  " น้าพงษ์ "   ทั้ง 2 คนต่างจะขอคุยกับน้าพงษ์ด้วย     แม่ก็คิดว่าเพราะลูกรู้จักเลยอยากคุย     พอแม่คุยธุระเสร็จเลยส่งโทรศัพท์มือถือให้คุย


ธรณ์        -   น้าพงษ์ช่วยซ่อมไฟให้หน่อย    มันดับ 3 ห้อง
น้าพงษ์    -   ที่ไหนล่ะ      ที่บ้านหรือ
ธรณ์        -   ที่บ้านคุณยาย

คราวนี้ธรรศคุยมั่ง
ธรรศ      -  น้าพงษ์.. มันช็อตด้วยนะ   ที่ห้องยายพริ้ง (พี่เลี้ยงของแม่)   น้าพงษ์ซ่อมให้หน่อย
น้าพงษ์   -  ซ่อมที่ไหน
ธรรศ      -  ข้างบนบ้านคุณตา (ห้องคุณตาอยู่ข้างบน)  ข้างล่างบ้านน้าปาน (ห้องน้าปานอยู่ข้างล่าง)   

......  คราวนี้นายธรรศแบ่งกรรมสิทธิ์บ้านให้เสร็จ 

แม่ฟังแล้วรู้สึก 2 อย่าง
- ลูกมีน้ำใจคิดช่วยเหลือผู้อื่น พอรู้ว่าคุยกับคนที่ทำไฟได้ ก็จะให้ไปซ่อมให้บ้านคุณยาย
- ลูกฟังที่ผู้ใหญ่คุยรู้เรื่อง    สามารถมาสื่อสารต่อได้   และรู้ว่าจะพูดเรื่องนี้กับใครที่จะจัดการปัญหานั้นได้

 

6.  สวดมนต์   (อีกแล้ว)       ( 3 ปี 3 เดือน)

ก่อนนอนแม่มักจะให้ธรรศสวดมนต์เสมอ    บางวันสวดมนต์ที่ห้องนอน   วันนี้แม่พาเข้าไปสวดมนต์ในห้องพระ

แม่         -    เอ้า...  สวดมนต์ก่อนครับ      นะโมตัสสะนะ

ธรรศ      -    พี่ธรรศไม่สวดหรอก

แม่         -    ทำไมล่ะ     ที่โรงเรียนก็สวดมนต์ก่อนนอนนี่   ที่บ้านก็สวดมนต์ก่อนนอนเหมือนกัน  

ธรรศ      -    ที่โรงเรียนสวดมนต์ก่อนนอน      ที่บ้านไม่ต้องสวดมนต์ก่อนนอนก็ได้

แม่         -    งั้นไม่ต้อง  " ดูนีโม่  ดิสนี่ ออน ไอซ์ "     ก็ได้ใช่มั้ย    เพราะที่โรงเรียนก็ไม่ได้ดู

ธรรศ      -    (ติ๊กต่อก.. ติ๊กต่อก.. )    ต้องดูซิแม่  ....    พี่ธรรศสวดมนต์ก่อนนอนที่บ้านก็ได้

 *** ข้ออ้างเค้าเยอะค่ะ ......   แต่ยังไงต้องไม่เสียผลประโยชน์ของตัวเอง***

 

7.  ทำไมมีไม่เหมือนกัน       ( 3 ปี 4 เดือนครึ่ง  -  14 มี.ค. 50)

ขณะที่กำลังนั่งรถพาธรรศกับธรณ์ไปส่งที่โรงเรียนเพื่อเรียนภาคฤดูร้อน   ธรณ์ก็ถามด้วยความสงสัยว่า

ธรณ์       - คุณแม่ครับ    ทำไมมีแต่    ทีวีโทรทัศน์     ล่ะครับ ทำไมไม่มี   ทีวีโทรธรณ์    มั่งล่ะ

แม่         - (แม่สะอึกกับคำถาม  กับความช่างคิด)   ก็..ก็...  บางอย่างไม่ต้องมีเหมือนกันหรอกลูก

 *** เค้าคงคิดว่ามีธรรศ   มีธรณ์     แต่บางคำทำไมมีแต่ออกเสียง "ทัด"  ไม่มีออกเสียง "ทอน"  ***

คำสำคัญ (Tags): #ธรณ์#ธรรศ#ฝาแฝด
หมายเลขบันทึก: 285967เขียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2009 22:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:15 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท