มนุษย์ชอบความสุข แต่ก็มีความทุกข์มาเยี่ยมเยียนบ่อย ๆ ...ทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ทางกาย ใจ สังคม อารมณ์ เศรษฐกิจ การงาน การศึกษา อนาคต ความรัก และเซ็กซ์
บางคนทุกข์ทีละอย่าง บางคนทุกข์ซ้ำซ้อนหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน
แต่ความทุกข์ก็มีส่วนดี มีความมหัศจรรย์ด้วยเหมือนกัน
หลังจากเกิดความทุกข์หรืออยู่ในห้วงของความทุกข์ หลาย ๆ คนเกิดสิ่งดีในชีวิตที่นำไปใช้ต่อไปได้
ซึ่งเราเรียกว่ามหัศจรรย์ของความทุกข์ ได้แก่
1. ทำให้รู้สึกเจียมตัว ว่าตัวเองไม่ได้ใหญ่โตหรือยิ่งใหญ่มาจากไหน หนีความทุกข์ไม่พ้น....เจียมตัวเสียบ้าง
2. เกิดการถ่อมตัว ในอนาคตจะเกิดการถ่อมตัวได้มากขึ้น ไม่หยิ่งผยองต่อไป
3. เกิดสติ รู้ตัวว่ากำลังเป็นอะไรอยู่ ทำอะไรอยู่ ทำถูกหรือผิด แก้ไขสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูกต้องเสีย มนุษย์ควรมีสติอยู่ตลอดเวลา แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมี เพราะหลงระเริงไปกับอารมณ์ที่ชอบหรือไม่ชอบ ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการพื้นฐานของชีวิต หรือกระแสสังคมวัตถุนิยม
หลาย ๆ คนที่เคยหลงมัวเมากับชีวิตหรือกิเลสรูปแบบต่าง ๆ ที่คิดว่าเป็นความสุข พอเกิดความทุกข์แทบเอาตัวไม่รอด บางคนคิดฆ่าตัวตาย บางคนหมดตัว และพอเกิดสติทำให้หลายคนมุ่งหน้าเข้าหาพุทธธรรม หรือปฏิบัติธรรม หลังจากนั้นกลายเป็นคนที่มีนิสัยใหม่ มีชีวิตใหม่ ออกมาเขียนประวัติตัวเองเป็นหนังสือขายร่ำรวยไปหลายราย
แต่บางรายก็สร้างเรื่องให้คนเชื่อว่าเปลี่ยนนิสัยได้ เพราะเกิดสติจากความทุกข์ แต่เป็นการกล่าวเพื่อหวังลาภหรือผลตอบแทน แบบนี้ต้องเรียกว่าเป็นการตลาดโดยอ้างว่า “เกิดทุกข์ แล้วเกิดสติ” ซึ่งถือว่าผิดศีลข้อ 3 คือกล่าวคำเท็จ ซึ่งพบได้มากขึ้น
4. ได้รู้รสความสุขที่ผ่านมาชัดเจนขึ้น เพราะได้เปรียบเทียบกับความทุกข์ที่กำลังได้รับอยู่
หลาย ๆ คนจะรู้รสชาติของการมีมิตรแท้ ญาติดี ๆ หรือคนรอบตัวที่รักเรา ที่เราอาจจะมองข้ามเขามานาน
เพื่อนในยามทุกข์คือ มิตรแท้ จะได้เห็นอกเห็นใจกันต่อไป ผูกพันเป็นมิตรกันยิ่งขึ้น
ส่วนเพื่อนหรือคนรอบตัวที่ชอบเหยียบย่ำซ้ำเติม ก็จะได้ตัดขาดจากกันไปเสียที ลดความรุงรังของชีวิตด้วย
5. เกิดภูมิคุ้มกันของชีวิต เมื่อผ่านความทุกข์ไปได้แล้ว ชีวิตจะเกิดภูมิคุ้มกัน มองเห็นความเป็นจริงของชีวิต เกิดการยอมรับ รู้ว่าความทุกข์ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิดไว้ เราจะไม่ตีโพยตีพายถ้าจะเกิดทุกข์ครั้งต่อ ๆ ไป จะเข้าใจ ยอมรับ อดทน บึกบึน อดกลั้น และผ่านทุกข์ไปได้โดยไม่ทุกข์มากนัก
ความทุกข์เป็นความรู้สึกเปรียบเทียบกับความสุขของแต่ละคน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเหมือนกัน แต่คนจะทุกข์ไม่เท่ากัน คนที่สุขตลอดมาถ้าพบความทุกข์จะทุกข์มากกว่าคนอื่น ๆ
พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกได้พบความจริงของชีวิต พบความผิดหวังหรือความทุกข์บ้าง อย่าพยายามช่วยเหลือ คาดหวัง ให้ลูกพบแต่ความสมหวังหรือความสุขทุกอย่างเลย จะเกิดโทษตามมา หรือจะทุกข์จนทนแทบไม่ได้เมื่อโตขึ้น
อย่าเลี้ยงลูกให้อยู่ดีกินดีมากนัก
ควรจะเลี้ยงให้ อยู่พอดี....และกินพอดี จะดีกว่า
ถ้าอยู่ดีมากสบายมากนักก็จะติดความสบาย อ่อนแอ ไม่มีวินัยในตัวเอง ทำอะไรไม่เป็น ช่วยตัวเองได้ลำบาก
ถ้ากินดีมากไป ก็จะเป็นโรคอ้วนหรือโรคอื่น ๆ ได้ ควรจะอดบ้าง พบความผิดหวังบ้าง รู้จักการรอคอยหรือเสียสละบ้าง
แม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จงอย่าใฝ่หาการ “อยู่ดี – กินดี” มากเลย ไม่ดีหรอก สู้รู้จัก “การอยู่พอดี – กินพอดี” จะดีกว่า
เมื่อผ่านความทุกข์ไปได้แล้ว ชีวิตของคุณก็จะเหมือนเมล็ดพันธุ์พืชชั้นดีที่มีความแกร่ง เหมาะจะปลูกลงในผืนดิน โดยมีกำลังใจที่ดีเป็นน้ำและปุ๋ย
เมล็ดพืชของชีวิตที่ดีก็จะงอกงามเติบโตต่อไป
เกิดร่มเงาออกดอกผลและกระจายเมล็ดพืชพันธุ์ที่ดีต่อไปในสังคม
เป็นแนวพัฒนาชีวิตที่ทำได้ไม่ยากนัก
ใช่แล้วขอรับต้องบอกว่า..
โชคดีวันนี้ที่เรามีความทุกข์นะขอรับ..
อย่าไปทุกข์เลยความทุกข์เปรียบเหมือนพายุพัดผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
หลงรักความทุกข์แล้วสิ รักในข้อดีน่ะ แต่ยังไม่อยากเจออยู่ดี 555