ณ แผนกเอกซเรย์โรงพยาบาลบ้านลาด เวลาประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆ ผู้รับบริการเริ่มบางตาบ้างแล้ว เจ้าหน้าที่เวรเปลได้เข็นเปลนั่งมาหน้าห้องเอกซเรย์ ในเปลนั่งมีหญิงชรา อายุประมาณ 70 ปีกว่า นั่งอยู่ ใบหน้าของยายดูเศร้าและเหงาหงอย แฝงร่องรอยของการตรากตรำ ทำงานหนักมาอย่างเหนื่อยล้า ผมสีขาวโพลนตัดกับผิวสีคล้ำ ร่างกายผอมซูบ เล็กบาง หลังงองุ้ม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีมอซอ ค่อนข้างเก่าคร่ำคร่า
ยายผู้นี้เข้ามารับบริการที่แผนกเอกซเรย์เพื่อถ่ายภาพกระดูกเชิงกรานและกระดูกสันหลัง ซึ่งยายต้องได้รับการเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมบังเข้าไปในฟิล์มหรือในอวัยวะที่แพทย์ต้องการ เมื่อนำยายเข้ามาภายในห้องเอกซเรย์ ฉันถามชื่อ-สกุลของยายเพื่อไม่ให้ผิดตัวบุคคล และบอกอวัยวะที่ยายจะต้องได้รับการถ่ายภาพเอกซเรย์ เพื่อสร้างความเข้าใจในการต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ถูกต้อง เมื่อฉันแจ้งให้ยายทราบ จนเข้าใจแล้วก็ถามยายว่า
ฉัน : ยายเดินไหวมั้ยคะ
ยาย : พอไหวจ้ะ
ฉัน : ยายมีญาติมาด้วยมั้ยคะ
ยาย : ไม่มีหรอกจ้ะ
ฉัน : อ้าว! แล้วยายมาโรงพยาบาลยังไงล่ะ
ยาย : วานคนข้างบ้านเขามาส่งจ้ะ เดี๋ยวเขามารับบ่ายๆ นั่นแหละ
เมื่อได้ฟังดังนั้น ฉันมองยายด้วยความเห็นใจและสงสารยาย รู้สึกสะท้อนใจว่า สังคมทุกวันนี้ทำไมมันแย่ลงทุกวัน วัฒนธรรมไทยเดิมๆ ไปไหนหมด ลูกหลานไม่เหลียวแลพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เราต้องดิ้นรนกันขนาดนี้เชียวหรือ โดยทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลัง
บ่อยครั้งที่ผู้มารับบริการที่แผนกเอกซเรย์เป็นผู้สูงวัย และไม่มีลูกหลานตามมาดูแลเอาใจใส่ ทิ้งผู้เฒ่าผู้แก่ไว้ที่โรงพยาบาล มีคนมารับเมื่อไหร่ตา ยาย ก็ได้กลับตอนนั้นล่ะ ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะได้รับฟังเป็นประจำเมื่อได้พูดคุยกับผู้ป่วยทีเป็นผู้สูงวัย คำตอบที่ผู้สูงวัยเหล่านี้มักตอบให้ฉันฟังคือ “ไม่มีใครว่างพามา งานเขาเยอะ”
จากนั้นฉันพายายขึ้นเตียง เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้และฉันก็ชวนยายคุยไปด้วยขณะเปลี่ยนเสื้อผ้า
ฉัน : ยายไปทำอะไรมาคะ ล้มมาหรือเปล่า
ยาย : ล้มมาจ้ะ ยายไปเดินเก็บผัก เพื่อนำมาขายแล้วสะดุดกับตอไม้ ยายไม่ทันมองเห็นเลยล้มก้นกระแทกพื้นไปเลย เพราะว่ายายรีบน่ะกลัวว่าจะเก็บผักได้น้อยและกลัวเอาไปขายไม่ทันจ้ะ
ฉัน : แล้วลูกหลานยายไม่มีเหรอ ยายอยู่กับใครล่ะ
ยาย : อยู่กันสองคน ตายาย ลูกเขาไปอยู่ที่อื่นกันหมด อย่างว่าเรามันจน ไม่ทำก็ไม่รู้จะเอาอะไรกิน
ฉันรู้สึกเจ็บในใจลึกๆ ว่าสังคมไทย ทำไมมันไม่มีความยุติธรรมเอาเสียเลย คนไหนจนมันก็จนจริงๆ คนไหนรวยก็รวยอยู่นั่นแหละ ความเสมอภาคเท่าเทียมกันไปไหนหมด จะแก่งแย่งช่วงชิงกันไปถึงไหน ทำไมไม่อยู่อย่างพอเพียง หันมาเหลียวแลคนข้างหลังกันบ้าง ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ นอกเสียจากความดี สุดท้ายของชีวิตก็จบที่เดียวกัน น่าจะหันมาเอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกัน เอาใจใส่คนใกล้ตัว และคนที่รักเรา เพียงเท่านี้ทุกคนในครอบครัวก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข ถึงแม้ต้องจากคนที่เรารักไปในบั้นปลายชีวิตเราก็มีความสุข เพราะตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่เราได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว
จากนั้นก็ดำเนินการถ่ายภาพเอกซเรย์และนำฟิล์มไปล้าง ช่วงรอฟิล์ม ฉันก็นั่งลงทะเบียนพร้อมกับชวนยายคุยไปด้วย
ยาย : หมอ ยายจะเป็นอะไรมากมั้ย มีอะไรแตกหักบ้างเปล่าก็ไม่รู้ จะใช้การ ทำงานได้เหมือนเดิมมั้ย ถ้ายายเดินไม่ได้แล้วยายจะอยู่ยังไง ตาก็ไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บออดๆ แอดๆ
ฉัน : ยายใจเย็นๆ นะ อย่าเพิ่งกังวลไปก่อน เดี๋ยวรอดูฟิล์มก่อนนะยาย
ฉันหันไปปลอบใจยายให้ยายคลายความกังวล ว่ายายคงไม่เป็นอะไรหรอก เพราะยายยังสามารถเดินได้ ลงน้ำหนักการเดินได้ดีอยู่ สะโพกไม่น่าหัก ยายอย่าเพิ่งวิตกไปเลย
เมื่อฟิล์มออกมา ฉันได้ดูฟิล์มแล้วพบว่าไม่มีการแตกของกระดูกสะโพกอย่างที่ยายกังวล แต่เป็นร่องรอยการเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลังตามลักษณะรูปร่างของยายที่ตรากตรำทำงานหนักมาตลอดชีวิตของแกมากกว่า ซึ่งวัยของยายควรจะได้พักผ่อนอยู่บ้าน พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวลูกหลานมากกว่าทำงานอย่างทุกวันนี้
จากนั้นฉันก็ช่วยยายเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับไปใส่ชุดของยาย เพื่อจะให้ยายนำฟิล์มไปพบหมอ ขณะเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันก็พูดกับยายว่า
ฉัน : ยายไม่มีกระดูกสะโพกหักอย่างที่ยายกังวลนะ แต่เดี๋ยวยายนำฟิล์มไปพบหมออีกทีนะคะ แล้วยายรู้สึกเจ็บปวดตรงไหน ยายก็บอกหมอเค้าให้ละเอียดแล้วกันนะ หมอเค้าจะได้รักษาได้ถูกต้อง ยายจะได้หายเร็วๆ นะ ครั้งนี้ยายโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก สะโพกไม่หัก แต่ต่อไป ยายต้องเพิ่มความระมัดระวังมากกว่านี้นะ เพราะกระดูกคนแก่มันเปราะ เสี่ยงต่อการแตกหักของกระดูกได้ง่าย
ยายเริ่มร้องไห้และพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า
ยาย : ยายมันจน ถ้าหยุดทำ ยายก็ไม่รู้จะเอาที่ไหนมากินมาใช้ ก็ต้องทนทำต่อไป ไม่มีใครมาดูแล ยายไม่อยากเป็นภาระของใคร มีลูกก็เหมือนไม่มี ก็เรามันจนจะให้ทำอย่างไรได้เล่า
ฉัน : ยังไงยายก็เพิ่มความระมัดระวังหน่อยละกัน บอกตาด้วยนะ ระวังอย่าให้แกล้มเหมือนกัน เดี๋ยวจะเจ็บไปอีกคน หนูก็ขอให้ยายหายไวๆ มีสุขภาพแข็งแรงนะจ๊ะยาย
เมื่อฉันพูดจบ น้ำตาของยายได้เอ่อท้นออกมากลบตา แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ มีความสุข ยายมองฉันด้วยสายตาที่ซาบซึ้ง ขอบคุณ ยายยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณฉัน พร้อมทั้งได้ให้พรฉันว่า
ยาย : ขอบคุณมากนะหนูที่ช่วยยาย ไม่รังเกียจยาย ยายขอให้หนูมีอายุมั่นขวัญยืน อยู่เย็นเป็นสุขนะลูก
เมื่อยายออกจากห้องเอกซเรย์ไปเพื่อกลับไปยังห้องตรวจ ฉันยืนมองยายจนลับสายตา ภาพที่ยายยกมือไหว้ฉันและสายตาของยายที่มองมาที่ฉันด้วยความซาบซึ้งในความห่วงใยที่ฉันมีต่อยาย
ไม่น่าเชื่อแค่เวลาไม่กี่นาทีที่ฉันได้ให้บริการแก่ยาย คำพูดต่างๆ ที่ฉันและยายได้ร่วมสนทนากันระหว่างที่ยายมารับบริการที่แผนกเอกซเรย์ มันทำให้ฉันได้คิดว่า คำพูดแค่ไม่กี่ประโยคของฉัน การกระทำของฉัน ซึ่งฉันต้องปฏิบัติอยู่แล้ว มันทำให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองของยาย มีรอยยิ้มและฉายประกายแห่งความสุขขึ้นมาบ้าง เหตุการณ์ครั้งนี้มันทำให้หัวใจของฉันพองโต และมีความสุขอย่างเหลือเชื่อ
ฉันอยากให้ทุกคน คิดดีต่อกัน
ฉันอยากให้ทุกคน พูดดีต่อกัน
ฉันอยากให้ทุกคน ทำดีต่อกัน
แล้วความมหัศจรรย์ จะเกิดขึ้นในชีวิตคุณ.....
พอลล่ามาอ่านแล้วค่ะ
เก่งมากๆค่ะ
เขียนอีก ค่ะ เยอะๆ ขอบคุณเรื่องราวดีๆ นะคะ
สิ่งที่คุณทำ...ดีที่สุดแล้วค่ะ...ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ