ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคตเพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคนทั้งในการดำรงชีวิตประจำวันและในงานอาชีพต่างๆ เครื่องมือเครื่องใช้ตลอดจนผลผลิตต่างๆที่ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและในการทำงานล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมากในทางกลับกันเทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญมากที่จะให้มีการศึกษาค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ในส่วนของการจัดกระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้ระบุให้สถานศึกษาดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแนวดังกล่าวจำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนการสอนทั้งของครูและนักเรียนกล่าวคือ ลดบทบาทของครูผู้สอนจากการเป็นผู้บอกเล่า บรรยาย สาธิต เป็นการวางแผนจัดกิจกรรมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้กิจกรรมต่างๆจะต้องเน้นที่บทบาทของนักเรียนตั้งแต่เริ่มคือร่วมวางแผนการเรียนการวัดผลการประเมินผลและต้องคำนึงว่ากิจกรรมการเรียนนั้นเน้นการพัฒนากระบวนการคิด วางแผน ลงมือปฏิบัติ ศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆจากแหล่งเรียนรู้หลากหลาย ตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูล การแก้ปัญหา การมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การสร้างคำอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลที่สืบค้นได้เพื่อนำไปสู่คำตอบของปัญหาหรือคำถามต่างๆ ในที่สุดการสร้างองค์ความรู้ทั้งนี้กิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวต้องพัฒนานักเรียนให้เจริญทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา การจัดการเรียนการสอนวิธีการใดที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจง่ายและทำได้ เรียนแล้วอยากเรียน อาจทดลองรูปแบบและมีการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนที่จะทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มศักยภาพโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญอันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของผู้เรียน (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1, 2549) จากการที่ได้รับมอบหมายให้เป็นครูผู้สอนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และต้องจัดการเรียนการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยได้พบปัญหาที่เกี่ยวกับความสามารถในการวิเคราะห์ของนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาซึ่งเป็นเรื่องที่จัดการเรียนการสอนค่อนข้างยาก ผู้วิจัยจึงได้ศึกษา ค้นคว้าและพบว่าวิธีการหนึ่งที่จะช่วยในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ให้ได้ผล โดยการให้นักเรียนได้ลงมือฝึกปฏิบัติในชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยได้ทำการพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนก และทักษะการสื่อความหมายมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2549 ปีการศึกษา 2550และได้ปรับปรุงพัฒนาจนถึงปีการศึกษา 2551 ซึ่งผู้วิจัยมีความสนใจที่จะพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น โดยต้องการให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยการใช้ชุดฝึกด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความสามารถและทักษะในด้านการสังเกต ทักษะการจำแนก และทักษะการสื่อความหมายต่อผู้เรียน ผลจากการศึกษาครั้งนี้จะสามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะและความสามารถพื้นฐานในการศึกษาในรายวิชาวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาความสามารถในการสังเกต การจำแนก และการสื่อความหมายของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
2. เพื่อศึกษาผลการใช้ชุดฝึกด้านทักษะความสามารถทางด้านการสังเกต การจำแนก และการสื่อความหมาย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
3. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จำนวน 1 ห้องเรียน รวมนักเรียนจำนวน 33 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในวิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ประกอบด้วย
1. ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานได้แก่ทักษะการสังเกต ทักษะ
การจำแนก และทักษะการสื่อความหมาย
2. แบบทดสอบวัดทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนก และทักษะการสื่อความหมาย
3. แผนการจัดการสอนที่มีชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
4.แบบสอบถามความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนการสอน
การเก็บรวบรวมข้อมูลการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้สอนได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1. ทดสอบนักเรียนก่อนเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนก และทักษะการสื่อความหมาย
2. จัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานได้แก่ทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนก และทักษะการสื่อความหมายเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551
3. สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนระหว่างที่นักเรียนฝึกปฏิบัติชุดฝึกทักษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานได้แก่ทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนก และทักษะการสื่อความหมาย
4. ประเมินผลการเรียนหลังจากใช้แบบทดสอบวัดทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนก
และทักษะการสื่อความหมายในแต่ละชุดฝึก
5. นำผลที่ได้จากการจัดการเรียนการสอน ก่อน ระหว่าง และหลังการใช้ชุดฝึกมาวิเคราะห์ตามขั้นตอนทางสถิติ
การวิเคราะห์ข้อมูล
1. หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนก และทักษะการสื่อความหมาย ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 / 80 โดย
1.1 หาค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งกลุ่มที่ทำชุดฝึกระหว่างเรียนได้ถูกต้อง หลังจากได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนก และทักษะการสื่อความหมาย เพื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ 80 ตัวแรก
1.2 หาค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งกลุ่มที่ทำชุดฝึกหลังเรียนได้ถูกต้อง หลังจากได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนก และทักษะการสื่อความหมาย เพื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ 80 ตัวหลัง
2. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนซึ่งเป็นแบบสอบถามปลายเปิด โดยการวิเคราะห์ความถี่และร้อยละ
ผลการวิจัย
เมื่อเทียบกับเกณฑ์ คือ 80/80 อยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้
ความหมายของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ผลปรากฏว่า
2.1 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนคลองห้าคะแนนหลังการใช้ชุดฝึกทักษะฯมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการใช้ชุดฝึกโดยหลังการใช้ชุดฝึกมีคะแนนเฉลี่ย 26.09 คะแนนโดยที่เฉลี่ยก่อนการใช้ชุดฝึก 11.78
2.2 คะแนนเฉลี่ยของการทำแบบทดสอบวัดทักษะการสังเกต เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต
พืชในท้องถิ่นและสัตว์ในท้องถิ่น ก่อนการใช้ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ย 4.00 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 40 ของคะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ยของการทำแบบทดสอบวัดทักษะการสังเกตหลังการใช้ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ย 9.21 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 92.21 นักเรียนจำนวน 33 คน มีคะแนนทำแบบทดสอบวัดทักษะการสังเกตสูงขึ้น 31 คน
พืชในท้องถิ่นและสัตว์ในท้องถิ่น ก่อนการใช้ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ย 4.15 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 40.15ของคะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ยของการทำแบบทดสอบวัดทักษะการจำแนกหลังการใช้ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ย 8.60 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 86.00 นักเรียนจำนวน 33 คนมีคะแนนทำแบบทดสอบวัดทักษะการจำแนกสูงขึ้นทุกคน
สิ่งไม่มีชีวิต พืชในท้องถิ่นและสัตว์ในท้องถิ่น ก่อนการใช้ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ย 3.63 คะแนนคิดเป็น ร้อยละ 36.30 ของคะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ยของการทำแบบทดสอบวัดทักษะการสื่อความหายหลังการใช้ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ย 8.27 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 82.70 นักเรียนจำนวน 33 คน มีคะแนนทำแบบทดสอบวัดทักษะการสื่อความหมายสูงขึ้นทุกคน
วิทยาศาสตร์ ทำการศึกษาจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากขึ้นไป
ข้อเสนอแนะ
1. ก่อนที่จะให้นักเรียนได้ทำชุดฝึก ครูควรเตรียมการสอน เอกสาร อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมและทำความเข้าใจ โดยชี้แจงทำความเข้าใจ แนะนำนักเรียนให้มีความรู้ ทักษะพื้นฐานในการสังเกต การจำแนก และการสื่อความหมาย
2. ควรมีการนำเอาผลงานของนักเรียนที่ได้จากการทำชุดฝึกมาติดที่ป้ายนิเทศโดยติดผลงานของนักเรียนทุกคนเพื่อให้นักเรียนได้เปรียบเทียบผลงานของตนเอง
3. ควรเน้นหรือเพิ่มทักษะการอ่าน การเขียนสื่อความ โดยพัฒนาการเขียนข้อความสั้น ๆ ได้
บรรณานุกรม
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2544). คู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.).
ชัยยันต์ ปาริยพันธ์. (2535). ผลการสอนโดยเน้นกระบวนการที่สอดแทรกกิจกรรมฝึกทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
(ศึกษาศาสตร์-การสอน) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
ผุสดี ตามไท. (2527). การพัฒนาวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ กลุ่มสร้างเสริม
ประสบการณ์ชีวิตระดับประถมศึกษา. ข่าวสาร สสวท. 12 (เมษายน- มิถุนายน 2527) หน้า 30.
เรียม เทศสบาย. (2538). ผลของการใช้แบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่มีผลต่อ
ผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นผสม และความสามารถในการ
แก้ปัญหาเชิง วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพนมดงรักวิทยา.
วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ศึกษาศาสตร์-การสอน) บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
รุ่งระวี ศิริกิตติศัพท์. (2549). ผลของกิจกรรมการทดลองที่มีต่อทักษะวิทยาศาสตร์ด้านการ
สังเกตและการจำแนกของเด็กปฐมวัย. วิทยานิพนธ์ คหกรรมศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
วรรณทิพา รอดแรงค้า และคณะ. (2548). สาระการเรียนรู้พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ป.1. กรุงเทพฯ :
สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.).
ไม่มีความเห็น